Thursday, March 27, 2014

อียิปต์โมเดลรุ่นใหม่ :ต้องระวังอย่าให้เป็นไปได้ในไทย



เมื่อต้นอาทิตย์นี้ศาลในอียิปต์พิพากษาให้ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐประหารต้องโทษประหารชีวิตพร้อมกัน ๕๒๙ คน นับเป็นการสั่งฆ่าทางการเมืองครั้งประวัติการณ์ แม้จะยังมีการอุทธรณ์คำสั่งได้ก็เชื่อว่านี่เป็นมาตรการไล่ล่าและไล่เบี้ยขั้นเด็ดขาด ต่อบรรดาผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งคนแรกของประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้นในวันต่อมา ศาลเดียวกันได้เลื่อนการพิจารณาคดีคล้ายคลึงกันอีกคดีหนึ่ง ไปพิจารณาปลายเดือนหน้าพร้อมๆ กับการลงอาญาในคดีแรก แต่ว่าคดีหลังนี้มีผู้ต้องหาถึง ๖๘๓ ราย ล้วนเป็นพวกผู้สนับสนุนรัฐบาลชุดเลือกตั้งเช่นกันเกือบทั้งสิ้น

ผู้ที่ต้องโทษประหารแล้วกว่าห้าร้อยคนนั้น ส่วนใหญ่เป็นพวกภราดรภาพมุสลิมที่สนับสนุนนายโมฮาเม็ด มอร์ซี อดีตประธานาธิบดีซึ่งถูกคณะทหารยึดอำนาจแล้วจัดตั้งรัฐบาล (พลเรือน) ของตนเองขึ้นมาแทนเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน หลังจากนั้นก็ได้มีการไล่ล่ากวาดล้างโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงของทหาร ท่ามกลางการออกมาประท้วงหลายครั้งบนท้องถนนของสมาชิก บราเธอร์ฮู้ด เป็นผลให้มีคนตายถึง ๑,๖๐๐ ราย

คดีที่ศาลตัดสินประหารชีวิตผู้ประท้วงทั้งยวงครั้งนี้ มาจากการชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารในท้องที่จังหวัดมิเนีย เขตฐานเสียงหนาแน่นของภราดรภาพมุสลิม ที่รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การควบคุมของทหารได้ประกาศให้เป็นองค์กรนอกกฏหมายอีกครั้ง แม้นว่าองค์กรมุสลิมซึ่งต่อสู้กับคณะทหารมาตลอดประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของอียิปต์นี้จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดภายหลังการปฏิวัติประชาชน อาหรับสปริงโค่นผู้เผด็จการฮอสนิ มูบารัค ในอียิปต์เมื่อสามปีที่แล้ว

องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติกล่าวถึงการตัดสินคดีครั้งนี้ว่า เป็นการพิจารณาคดีอย่างรวบรัด โดยผู้ต้องหาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าฟังการพิจารณา ทนายจำเลยไม่สามารถเรียกพยานของตนเองมาให้การ ไม่อาจต่อสู้คดีด้วยกรรมวิธีอื่นนอกจากสำนวนลายลักษณ์อักษร และศาลตัดสินความผิดหลังจากได้ฟังการนำเสนอคดีเพียงสองครั้ง

เหล่านี้นางแซร่าห์ ลีอาห์ วิทสัน ผู้อำนวยการฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ประจำภาคพื้นตะวันออกกลางบอกว่าล้วนขัดต่อหลักนิติธรรม หรือ Due Process of Law

สื่อตะวันตกกล่าวถึงการตัดสินคดีในอียิปต์ครั้งนี้ว่า โดยเนื้อแท้เป็นการแสดงอำนาจตุลาการในทางข่มขู่ผู้ที่บังอาจลุกขึ้นมาขัดขืนต่ออิทธิพลของทหาร และแน่ละคนเหล่านี้เป็นพวกมุสลิมที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมอร์ซีผู้มาจากการเลือกตั้งในปี ๒๕๕๕

ไม่ว่าศาลที่ตัดสินคดีจะมีความรังเกียจพวกบราเธอร์ฮู้ด หรือว่าได้รับธงโดยตรงมาจากคณะทหารที่บงการรัฐบาลอยู่ขณะนี้ การตัดสินคดีได้ เปลือยให้เห็นถึงระบบที่เต็มไปด้วยการลำเอียง จงใจลงทัณฑ์ต่อผู้สนับสนุนของนายมอร์ซีอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วยังทำไขสือไม่ยอมรับรู้ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้อุ้งเท้าทหาร

ผู้ที่ติดตามการเมืองในประเทศอียิปต์ตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมาจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงความละม้ายคล้ายคลึงกับปัญหาขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยอยู่ไม่น้อย (แม้แต่แกนนำ นปช. ท่านหนึ่งยังเคยอ้างถึงโมเดลอียิปต์ ลิเบีย ตูนิเซีย เอาไว้ในบริบทที่ดูเหมือนจะหมดสมัยนิยมไปแล้วขณะนี้)

บทความของผู้เขียนเอง เรื่อง "เหมือนว่าอียิปต์ก็ไม่ต่างกับไทย" ได้แตะประเด็นอันเป็นปัญหาเหล่านี้เอาไว้พอประมาณว่า ทหารไทยก็เหมือนในอียิปต์ที่ยังคงเป็นชนชั้นพิเศษในทางการเมือง จนทำให้ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมากระทั่งบัดนี้ มีจุดสนใจอันจะเป็น ไคลแม็กอยู่ที่ท่าทีของคณะทหาร อันเป็นคำถามเรื่อยมาไม่ขาดสายว่า ปฏิวัติหรือยัง ปฏิวัติหรือยัง

เป็นความจริงที่สถานการณ์ตามเนื้อนาทางการเมืองในประเทศไทยมิได้เหมือนกับอียิปต์ จึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันให้เป็น โมเดล เอาอย่างได้เสมอไป แต่ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทางการเมืองในอียิปต์ขณะนี้อาจทำให้ใครบางคนในประเทศไทยเห็นดีเห็นงาม ไปกับการที่ทหารอียิปต์สามารถยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมีคนชั้นกลาง คนชั้นสูง รวมไปถึงกลุ่มคนที่ภาคภูมิกับสมัญญานามแทนพวกพ้องของตนว่า ปัญญาชน ให้การสนับสนุน

และอาจหลงเคลิ้มไปว่าทหารจะพาประเทศชาติหลุดพ้นจากความชั่วร้ายของมุสลิมบราเธอร์ฮู้ด นำไปสู่การปกครองใหม่ที่อะไรๆ ก็เปี่ยมไปด้วยความ ดีทั้งสิ้นได้

การณ์กลับกลายเป็นว่า ทหารไม่เพียงฉวยโอกาสกวาดล้างอิทธิพลของมุสลิมอย่างหักโหมจนเป็นที่ตำหนิของบรรดาองค์กร และผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนนานาชาติ สร้างความผิดหวังให้แก่สหรัฐอเมริกาประเทศพี่เอื้อยที่เคยขุนทหารอียิปต์มาหลายทศวรรษ แต่ก็ไม่สามารถชักนำให้ทหารอียิปต์เดินตามครรลองประชาธิปไตยสากลอย่างเต็มรูปแบบได้ กลายเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์การเมืองอย่างมหันต์ ดังที่นายรอเจอร์ โคเฮ็น นักวิจารณ์ของสื่อเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงไว้ในเรื่อง 'The Egyptian Disaster'

ที่สำคัญในเวลานี้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าทหารทำทุกอย่างเพื่อตนเองเสียมากกว่า เพื่อชาติ

ทั้งสร้างพร้อปฉากละคร พร้อมด้วยวาทกรรม จะนำประชาธิปไตยมาให้ รวมไปถึงการกำหนดกฏหมายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ตน และเป็นขวากหนามขวางกั้นกลุ่มการเมืองอื่นมาประชันขันแข่ง แม้แต่กลุ่มสื่อมวลชนและพวกเสรีนิยมที่เคยตั้งแง่กับบราเธอร์ฮู้ด บัดนี้ได้เจอเข้ากับอิทธิฤทธิ์ของอำนาจทหารกันบ้างแล้ว

ล่าสุดจอมพลอับดุล ฟัตตาห์ อัลซิซี เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งทางทหารเพื่อจะลงรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์ ก่อนหน้านี้ไม่นานนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเรือนที่คณะทหารตั้งขึ้นมารักษาการหลังยึดอำนาจ ได้ลาออกโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเพื่อเปิดทางแก่จอมพลอัลซิซีเปลี่ยนหมวกมาเป็นผู้นำรัฐบาลโดยตรงด้วยตนเอง

การนี้เช่นกันท่านจอมพลเคยพูดแบไต๋ไว้แล้วว่าถ้า เป็นทางเลือกของมวลมหาประชาชน และ ภารกิจร่ำร้อง ก็จะยินยอมรับตำแหน่งสูงสุดของประเทศ

อียิปต์โมเดลในเวลานี้จึงน่าจะเป็นที่จับจ้องของฝักฝ่ายการเมืองในประเทศไทย ที่เห็นว่าฐานมวลชนอันกว้างขวางของรากหญ้าอย่างเช่นภราดรภาพมุสลิมในอียิปต์นั้นปล่อยให้ได้สิทธิตามคะแนนเสียงไม่ได้ เพราะพวกนี้จะโตวันโตคืนมาเบียดบังสิทธิพิเศษของตน ต้องหักดิบตัดกำลังด้วยการรัฐประหาร โดยมีฝูงชนชั้นสูงเกื้อหนุน

ทำการปฏิรูปจัดระเบียบปกครองเสียใหม่ให้รากหญ้าเหล่านั้นไม่สามารถหือได้ จนเมื่อรวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จล่วงแล้ว ประเทศชาติของพวกเราก็จะถึงซึ่งศิวิลัย ต่างแต่เพียงว่าข้างฝ่ายประชาชนกลับต้องถึงแก่กาลบรรลัย

No comments:

Post a Comment