ทหารอียิปต์เข้าการสลายชุมนุมของภราดรภาพมุสลิมสองจุดในไคโรเมื่อวันที่
๑๔-๑๕ สิงหาคมที่ผ่านมาไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นมือที่มองเห็นชี้ช่องศูนย์อำนวยการฉุกเฉินฯ
ส่งทหารเข้ากระชับวงล้อมการชุมนุมของเสื้อแดงที่ราชประสงค์เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ในไคโรทหารใช้กระสุนจริงยิงต่อเนื่องกับการยิงแก๊สน้ำตาหลังจากประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ได้ไม่ถึง
๑๕ นาฑี เป็นผลให้มีคนตายนับพันตามรายละเอียดรายงานล่าสุดฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ที่ระบุว่าวันที่
๑๔ ส.ค. มีผู้เสียชีวิต ๖๓๘ ราย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ๔๓ คน
และจำนวนผู้ตายเพิ่มเติมในวันที่ ๑๘ ส.ค. อีก ๑๗๓ คน ส่วนใหญ่ในพื้นที่บริเวณสุหร่ารับอะ
อัล-อะดาวียา ในนัสเซอร์ซิตี้ และที่นาห์ดะในย่านกิซ่า ซึ่งก่อนหน้านี้อัลจาซีร่า รายงานว่ามีคนตายเกินห้าร้อย
ส่วนในกรุงเทพฯ เมื่อปี ๕๓ อาจมีคนตายน้อยกว่า คือแค่หลักร้อย
แต่สภาพศพจำนวนมากเห็นรอยกระสุนเข้าหัว ทะลุคอ หรือฝังในร่างส่วนบนไม่ต่างกัน
ผู้ตกเป็นเหยื่อลุยสังหารในนัสเซอร์ซิตี้อาจเป็นมุสลิมภราดรภาพที่ชาวอียิปต์อีกส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นพวกคลั่งศาสนานิยมความรุนแรง
ส่วนคนเสื้อแดงเหยื่อกระชับวงล้อมในพื้นที่ราชประสงค์ส่วนมากมาจากต่างจังหวัดถูกหยามว่ากักขฬะ
โง่เง่า แต่พวกเขาชื่นชมอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ทั้งสองเหตุการณ์ คนละประเทศ คนละปี
แต่ดูแล้วผู้เสียหาย และสูญเสียเหล่านี้ก็คือ ประชาชนธรรมดา ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร
ทั้งสองกรณี ผู้กระทำจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษเรียกว่า
‘ทหาร’ เป็นชนชั้นเหนือกว่าใครในสังคม
นอกจากจะกินดีอยู่ดี มียศถา มีสิทธิพิเศษพกพา
และใช้อาวุธประหัตประหารสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่พวกพ้องของตน หรือไม่ก็เป็นคนของกองทัพซึ่งหน้าที่หลักไม่ค่อยได้ใช้ในการรบราข้าศึกเหมือนก่อน
แต่มักเอาไว้ปราบประชาชนที่เห็นต่างกับผู้กุมอำนาจรัฐ นอกเหนือจากนั้นมักชำนาญกีฬาเดินตีลูกบอลสีขาวเล็กๆ
ที่เรียกว่าก็อล์ฟ เหมือนๆ กัน
ทหารอียิปต์นั้นเปรียบเทียบได้กับวรรณะพราหมณ์ของอินเดียโบราณ
มีการสืบทอดตำแหน่งกองทัพด้วยการบรรจุลูกหลานต่อเนื่องจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง
พวกเขาจะพยายามปกป้องศักดิ์ศรี และสิทธิพิเศษ เหนือใครๆ
ในประเทศเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
สตีเว็น เอ. คู้ก ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของสมัชชาความสัมพันธ์ต่างประเทศ
บอกว่าพวกนี้ถือตัวเป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจ และอิทธิพลของทั้งระบบ
โดยที่ไม่ยึดเหนี่ยวในทางอุดมการณ์ใดๆ และพร้อมที่จะต่อรองกับใครๆ ได้ทั้งนั้น
นี่เป็นคำตอบต่อข้อข้องใจที่ว่าทำไมนายพลอับดุล ฟัตตาห์
อัลซิซี ซึ่งดูเหมือนจะเคยไปกันได้ดีกับประธานาธิบดีโมฮัมเม็ด มอร์ซีในระยะแรกๆ
กลับกลายมาเป็นผู้โค่นมอร์ซีเสียเอง ทำนองเดียวกับที่นายพลโมฮัมเม็ด
ฮัสเซียน ทันทาวี (ฉายาหมาพูเดิ้ลของมูบารัค)
แปรพักตร์ไปเป็นกุญแจสำคัญที่กำจัดประธานาธิบดีมูบารัคจากอำนาจเมื่อสองปีที่แล้ว
ทหารอียิปต์อ้างเหตุผลในการเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางการเมืองว่าเพื่อธำรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของประชาชน
จุดมุ่งหมายหลักของทหารอยู่ที่ความมั่นคงแห่งชาติ
อันตีความรวมไปถึงสิทธิพิเศษต่างๆ ของพวกตนที่ใครไหนอื่นจะแตะต้องไม่ได้ด้วย
แล้วทหารไทยล่ะ บางคนบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป
เพราะเรามีทหารประชาธิปไตย และทหารแตงโม แม้จำนวนไม่น้อยที่วงศ์ญาติ
และเครือดองจะเพียงเข้าข่ายชนชั้นกลางในเมือง ไม่ถึงขั้นอำมาตย์
แต่การอ้างความมั่นคงแห่งชาติเสมอๆ ของทหารไทยก็ไม่ต่างกับความมั่นคงทางชนชั้นแบบอียิปต์
เพียงแต่ทหารไทยอาจเลิศเลอกว่าตรงที่มีความภักดีต่อราชบัลลังก์คุ้มเกล้าอยู่ด้วยเท่านั้น
เฉพาะที่เหมือนกันมากๆ ตรงการเข้าสลายการชุมนุม
คงจำกันได้ว่าก่อนที่จะสิ้นสุดการชุมนุมของเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม
๕๓ ลงอย่างราบคาบ และเป็นเถ้าถ่าน กำลังทหารได้เข้าสลายบริเวณสี่แยกคอกวัวถึงสะพานผ่านฟ้าก่อนหน้าแล้วหนึ่งครั้งในวันที่
๑๐ เมษายน
มีการยิงแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิค็อปเตอร์แล้วตามด้วยการขอคืนพื้นที่ด้วยกระสุนจริงยามค่ำ
(อันตรงข้ามหลักการสลายชุมนุม) ครั้งนี้นับเป็นโชคดีของฝ่ายประชาชนไม่มีคนตายมากเพราะมีชายชุดดำติดอาวุธหนักเข้ามาขัดขวาง
ทำให้ฝ่ายทหารถอยไปหลังจากมีนายทหารระดับบังคับบัญชาตายไปหนึ่งคน บาดเจ็บหนักอีกสองคน
จากระเบิดมือเอ็ม ๖๔ (แบบที่ทหารใช้) ขว้างเข้าไปกลางวงบัญชาการภาคสนาม
จึงมีการเข้าสลายอีกเป็นครั้งที่สองในวันที่ ๑๙ พฤษภาคมที่บริเวณราชประสงค์
หลังจากที่การเจรจาต่อรองระหว่างตัวแทนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับแกนนำ นปช.
โดยมีกลุ่มวุฒิสมาชิกเป็นคนกลางประสาน ใกล้จะลงเอยด้วยการถอยหลังหนึ่งก้าวของฝ่าย
นปช.
ในขณะที่วุฒิสมาชิกนำท่าทียินยอมจากแกนนำผู้ชุมนุมไปแจ้งแก่รัฐบาล
ทาง ศอฉ. ได้ตัดสินใจสั่งลุยไปเสียแล้วอย่างเบ็ดเสร็จ อันรวมถึงการใช้สไน้เปอร์ยิงอาสาสมัครในวัดปทุมวนาราม
ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไทย (กสม.) ของนางอมรา พงศาพิชญ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริงอย่างลำเอียง
ที่อียิปต์ก็เช่นกันการเข้าสลายชุมนุมของผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมอร์ซี่เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาสองฝ่ายที่มีทั้งตัวแทนจากสหรัฐ
และประชาคมร่วมยุโรปเป็นตัวกลางประสานใกล้สัมฤทธิ์ผล เมื่อฝ่ายภราดรภาพมุสลิมยอมรับข้อเสนอแล้ว
ดังคำพูดของเบอร์นาดิโน ลีออน ตัวแทนอียู ที่ว่า “เรามีแผนทางการเมืองอยู่พร้อมแล้ว
และฝ่ายหนึ่งก็ยอมรับแล้ว...เหตุการณ์ (สลายชุมนุม) ที่เกิดขึ้นไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด”
แต่ฝ่ายทหารที่เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคมกลับอ้างว่า แม้พวกบราเธอร์ฮู้ดจะบอกว่ายอมแล้วก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี
ทางการสหรัฐ ผ่านทางรัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศวิลเลี่ยม
เบิร์น รัฐมนตรีกลาโหมชัค เฮเกิล และสองวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน จอห์น แม็คเคน
กับลินซี่ย์ แกรฮ์ม พยายามที่จะชักนำฝ่ายทหารของนายพลอัลซีซิให้ประนีประนอมกับกลุ่มต่อต้านรัฐประหาร
อันรวมถึงภราดรภาพมุสลิม และพันธมิตรประชาธิปไตย (ซึ่งต่างกับ พธม.
ของไทยอย่างเกือบสิ้นเชิง)
แต่ว่าฝ่ายทหารไม่ยอมฟังเสียงอเมริกันที่เคยขุนมานมนานหลายทศวรรษอีกแล้ว
ไม่ว่าสหรัฐจะระงับการส่งมอบฝูงบินเอฟ ๑๖ ยับยั้งการซ้อมรบร่วมประจำปี
และเปรยว่าอาจกระทบความช่วยเหลือรวมรายปีมูลค่ากว่า ๑,๕๐๐ ล้านเหรียญก็ตาม
มิหนำซ้ำนายพลอัลซีซิได้เหน็บแนมอย่างแรงๆ ต่อสหรัฐในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ว่า
สหรัฐ “หันหลังให้กับประชาชนอียิปต์แล้ว พวกเขาจะไม่มีวันลืมหรอก” ทั้งๆ ที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค
โอบาม่า พยายามไม่เอ่ยคำว่า ‘รัฐประหาร’ เมื่อกล่าวถึงการยึดอำนาจในอียิปต์
เพื่อจะได้ไม่มีผลกระทบทางกฏหมายให้ความช่วยเหลือโดยรวมรายปีต่ออียิปต์ต้องยุติลง
แล้วกระเทือนต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่ผูกพันอยู่กับคลองสุเอซ
ถึงกระนั้นความลักลั่นในนโยบายต่างประเทศสหรัฐต่อปรากฏการณ์อาหรับสปริงโดยรวม
และความระมัดระวังเหมือนเดินบนเส้นเชือกในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านจากผู้เผด็จการมูบารัคไปยังประธานาธิบดีมอร์ซี่
มาสู่การเข้ายึดอำนาจอีกครั้งโดยฝ่ายทหาร ทำให้น้ำหนักคำพูดในฐานะพี่เอื้อยผู้เลี้ยงดูของสหรัฐลดน้อยลงไปอย่างวูบวาบ
ประกอบกับเดี๋ยวนี้มีอิทธิพลในภูมิภาคเข้ามาแบ่งส่วนบุญด้วย
ซาอุดิอาราเบียจัดเป็นมหาอำนาจทางการเงินในภูมิภาคที่ประกาศสนับสนุนคณะทหารอียิปต์ในทันทีทันควัน
เมื่อนายพลอัลซีซิเมินเฉยต่อเสียงโทรศัพท์รายวันของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐแล้วประกาศโค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ประการหนึ่งเพราะรัฐบาลของกษัตริย์อับดุลลาห์มีความจงเกลียดจงชังภราดรภาพมุสลิมอย่างหาที่สุดมิได้
อันเนื่องมาจากความเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ซาอุดิอาราเบียของบราเธอร์ฮู้ด
สำหรับคณะทหารไทยกับรัฐบาลสหรัฐที่มีความล้ำลึกต่อกันในยุคสงครามเย็น ทั้งในการสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ การถอนรากทำลายฝิ่นในภาคเหนือ และแถบสามเหลี่ยมทองคำ ด้วยงบประมาณลับไหลเข้ากลาโหมจำนวนมหาศาล กลายเป็นชิ้นปลามันให้เกิดแก่งแย่ง รุ่นพี่รุ่นน้องแข่งทำรัฐประหารช่วงชิงกันหลายครั้ง
กระทั่งเกิดเหตุเมษา-พฤษภาอำมหิตขึ้นในปี ๕๓ สหรัฐก็สามารถทำตนเป็นหมู่เฉยมาได้ตลอด จนถึงปรากฏการณ์ เธอก้าวสองขากลับมาเยือน ของนางฮิลลารี่ คลินตันเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนบัดนี้การเมืองไทยเข้าสู่โหมด สภาไทยไปมวยโลก และ ชะนีโหยหวน ซึ่งไม่ต่างจากโหมด ลากเก้าอี้ประธานฯ เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วเท่าไรนัก จัดเป็นช่วงผ่อนคลายอารมณ์กับการเล่นจำอวดโดยพวกเด็กๆ แก๊งไอติม
อีกทั้งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เพิ่งมีการเดินทางเยือนสหรัฐของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำฝ่ายทหารของไทย ด้วยบรรยากาศนุ่มนิ่ม เรียบๆ น่าเป็นได้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีซาอุดิ อาราเบียมาให้กำลังใจทางการเงินจากการที่อยู่คนละทวีป คนละเชื้อชาติ คนละศาสนา และข้อสำคัญมีเรื่องคดีความเชื้อพระวงศ์ซาอุฯ ตายปริศนาในไทย สืบเนื่องมาแต่เรื่องเพชรหายติดปลายนิ้วสลัดไม่หลุดอยู่ด้วย
จึงมิอาจเปรียบเทียบสถานการณ์อียิปต์ปัจจุบันกับสถานการณ์ไทยในขณะนี้ได้
มิใยที่จะมีพวกไทยสปริงจอมปลอมพยายามจะโยงเข้าไปแอบอิงสร้างราคา หากแต่ว่าความรุนแรงที่ฝ่ายทหารใช้ในอียิปต์ครั้งนี้ กับที่เกิดในไทยครั้งนั้น บวกเจตนาของทหารที่เพียงปกป้องฐานะพิเศษแห่งชนชั้นไม่ได้ต่างกันแม้แต่น้อย ไม่ว่าทหารอียิปต์จะสามารถเรียกมวลชนให้ออกมาสนับสนุนฝ่ายตนได้เป็นหมื่นหรือหลายแสน ก็หนีไม่พ้นลักษณะมวลชนจัดตั้ง ไม่ต่างกับม็อบตากผ้าที่สนามหลวง หรือม็อบโค่นระบอบทักษิณที่ยังอ้อยอิ่งเหมือนผู้สูงอายุฉี่เท่าไรก็ไม่สุด
แท้จริงแล้วมวลชนอียิปต์มีลักษณะที่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ดังที่บล็อกเกอร์เกี่ยวกับตะวันออกกลางคนหนึ่งนามว่า กริฟฟิน พอล แจ็คสัน เขียนไว้ว่ามัน complicated นั่นคือไม่ได้มีเพียงแค่สองฝ่ายที่สนับสนุนมอร์ซี่ กับที่สนับสนุนทหารเท่านั้น
ในแต่ละข้างของความแตกต่างทางการเมืองสองค่ายประกอบไปด้วยกลุ่มย่อยๆ ที่บ้างอาจไม่ต้องการให้มอร์ซี่ และภราดรภาพมุสลิมมีอำนาจ แต่ก็ไม่ยอมรับการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงของทหาร
กลุ่มที่ไม่เอาทั้งบราเธอร์ฮู้ด และทหาร อันเป็นส่วนหนึ่งของมวลชนที่แสดงความชื่นชอบการรัฐประหารในระยะแรกนี้เรียกกันว่า ‘สี่เหลี่ยมที่สาม’ ประกอบด้วยพรรคนูร์ อันเป็นส่วนใหญ่ของพวกซาลาฟี พรรคอียิปต์เข้มแข็ง พรรคสังคมนิยมปฏิวัติ และขบวนการ ๖ เมษา ส่วนพวก ‘ทามาร็อด’ หรือกบฏ เป็นการรวมตัวของพรรคย่อยๆ เช่นนูร์ และแนวหน้าพิโมกข์แห่งชาติ (เอ็นเอสเอฟ) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มย่อยลงไปอีกมากมาย
พวก ‘สี่เหลี่ยมที่สาม’ นี้เป็นความหวังที่จะยับยั้งมิคสัญญีในชาติได้ด้วยการยอมรับเหตุผล และความเที่ยงธรรม
ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนมอร์ซี่ไม่ได้มีเพียงพวกภราดรภาพเท่านั้น ยังมีภาคี หรือพันธมิตรของกลุ่มย่อยๆ ที่เรียกตัวเองว่าพวกไม่เอารัฐประหาร-ต้องการประชาธิปไตย ปนอยู่กับพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่ปฏิบัติการก่อการร้าย มีศูนย์กำลังอยู่ในซีไนตอนเหนือ
เช่นเดียวกับฝ่ายสนับสนุนทหารที่นอกจากทหาร-ตำรวจแล้วยังมีขบวนการเคฟาย่า อันเป็นพวกคงแก่เรียนไม่นิยมความรุนแรง กับบางส่วนของพวกแนวหน้าพิโมกข์ เช่นพรรครัฐธรรมนูญของรองประธานาธิบดีมูฮัมเม็ด เอลบาราได นักฟิสิคศ์รางวัลโนเบล ที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งเพราะทหารใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม
ดูตามองค์ประกอบของกลุ่มต่างๆ ภายในฝักฝ่ายสองข้างสุดกู่ระหว่างพวกทหาร และพวกภราดรฯ จะพบว่ามีสัดส่วนของกลุ่มที่ปฏิเสธความรุนแรง และยอมรับความเห็นต่างเจือปนหลากหลาย หรือจนกระทั่งเหลื่อมล้ำกันอยู่ไม่น้อย
มวลชนส่วนหนึ่งเลือกเข้าข้างฝ่ายทหารเพราะคิดว่าเป็น lesser evil หรือพูดด้วยภาษาไพร่ว่า ‘เห้..น้อยกว่า’ แต่ทำไปทำมาอาจกลายเป็น ‘มวลชนโดนทหารหลอกใช้’ ก็เป็นได้
ด้วยเหตุว่าเกิดมีข้อมูลใหม่เมื่อต้นอาทิตย์นี้เอง "ศาลสั่งให้ปล่อยตัวอดีตประธานาธิบดีฮอสนิ มูบารัคแล้ว" และอาจมีการปล่อยตัวจริงๆ ในเร็วๆ นี้ เบื้องลึกของข่าวนี้ได้รับการตีความโดยสื่อตะวันตกว่าเป็นการกลับสู่การปกครองโดยทหารอีกครั้งหนึ่งในอียิปต์ แต่จะเป็นเผด็จการอย่างสมัยมูบารัค หรือรูปแบบใหม่เป็นเรื่องต้องจับตาดูกันต่อไป
ที่แน่ๆ ก็คือทหารได้ขอคืนพื้นที่สำเร็จแล้ว และกำลังกระชับอำนาจแห่งชนชั้นพิเศษอย่างขมีขมันภายใต้เงาของมูบารัค
รองประธานาธิบดีมูฮัมเม็ด เอลบาราได กับประธานาธิบดีแอ็ดลี มันซูร์ |
ย้อนมาดูไทย แม้การไล่ตีไล่ต่อย และการกรีดร้องโหยหวนจะเป็นเพียงอาการดื้อแพ่งของแก๊งไอติมในสนามสภา ขณะที่การบริหารจัดการในท้องพระโรงโอ่โถงดูจะราบรื่นชื่นมื่นดีระหว่างฝ่ายทหารกับรัฐบาล เมื่อนายกหญิงผู้งดงามเข้าไปนั่งคุมกลาโหมอย่างสุดสง่า แต่ความเปลี่ยนไป๊ในอียิปต์ก็ทำให้อดคิดถึงจิตสำนึกเบื้องลึกของทหารในการเมืองอย่างไทยๆ ไม่ได้ว่า จะยอมเป็นน้ำใต้ศอกอิตถีเพศไปได้นานสักแค่ไหน
หวังเพียงแค่ว่าท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลยิ่ง (น่า) ลักษณ์จะไม่กลายเป็นผู้พามวลชนไปโดนทหารหลอกเหมือนอียิปต์ก็แล้วกัน
No comments:
Post a Comment