Sunday, September 8, 2013

อเมริกาจะตีซีเรีย :สั่งสอน หรือจมปลัก

ตีพิมพ์ครั้งแรก ๕ กันยายน ๒๕๕๖ ที่  http://thaienews.blogspot.com/2013/09/blog-post_6559.html 

มาตรการโจมตีด้วยกำลังทางอากาศอย่าง “เป็นสัดส่วน มีลักษณะจำกัด และไม่ส่งกำลังเกือกบู๊ตสู่พื้นสนาม” ของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า เป็นที่ถกเถียงอย่างมากถึงผลลัพท์ที่จะตามมา แม้ว่า (ทั้งที่ไม่จำเป็น) จะมีการนำเข้าปรึกษาเพื่อขอมติจากสภาคองเกรส ก็ได้รับการขานรับจากทุกฝ่ายในเบื้องต้น
ท่ามกลางคำวิจารณ์ว่าโอบาม่าตัดสินใจโจมตีซีเรียครั้งนี้เพื่อรักษาหน้า หรือเครดิตผู้นำเพราะได้ขีดเส้นตายเอาไว้ ว่าหากมีการใช้อาวุธแก๊สพิษสังหารประชาชนจริง จะต้องใช้มาตรการทางทหารสั่งสอนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดให้รู้สึก หลังจากที่ประธานาธิบดี และรัฐมนตรีต่างประเทศแถลงยืนยันว่ารัฐบาลซีเรียได้ใช้อาวุธแก๊สพิษร้ายแรงกับฝ่ายตรงข้ามในสงครามกลางเมือง นับแต่ปี ๒๕๕๕ เรื่อยมาจนกระทั่งหนักหน่วงที่สุดในวันที่ ๒๑ สิงหาคมปีนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑,๔๒๙ คน อันรวมถึงเด็กเล็กกว่าสี่ร้อย

จอห์น เบเนอร์ กับประธานาธิบดีโอบาม่า
ก่อนถึงการอภิปรายในคองเกรสเมื่อเปิดประชุมสมัยสามัญวันที่ ๙ กันยายน จากการที่ประธานาธิบดีนำรายละเอียดข้อมูลหลักฐานข่าวกรอง (รวมทั้งในส่วนที่ได้มาจากการดักฟังการสื่อสารทางทหารของซีเรีย) นำร่องเสนอต่อผู้นำคองเกรส รายงานข่าวกรองยังระบุว่าหน่วยรบที่นำอาวุธแก๊สพิษออกใช้เป็น หน่วย ๔๕๐ซึ่งเป็นกองกำลังวงในใกล้ชิดประธานาธิบดีอัดสาด

เป็นผลให้ทั้งนายจอห์น เบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (พรรครีพับลิกัน รัฐโอไฮโอ) นายแอริค แคนเตอร์ (รีพับลิกัน-โอไฮโอ) ผู้นำเสียงข้างมากในสภาล่าง และนางแนนซี่ โพลาซี่ (เดโมแครท-แคลิฟอร์เนีย) ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาเดียวกัน ล้วนออกมาแถลงสนับสนุนมาตรการโจมตีซีเรียด้วยกันทั้งสิ้น



โดยมีเหตุผลสำคัญร่วมกันว่าเพื่อไม่ให้รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธแก๊สพิษทำร้ายประชาชนของตนเองได้อีกต่อไป
หากแต่ว่าการโจมตีทางอากาศอย่างจำกัดขอบข่ายจะสามารถยุติพฤติกรรมของรัฐบาลอัสสาดได้ไหม มิพักที่จะพูดถึงเรื่องยับยั้งการใช้อาวุธแก๊สพิษเหล่านั้นได้เพียงใด ด้วยข้อคำนึงว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้ที่มีกำลังอาวุธแก๊สพิษมากที่สุดกว่าใครในโลก อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าการโจมตีทางอากาศถึงจะแม่นยำเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์บนพื้นดินได้ ส่วนจะมากหรือน้อยไม่ต้องพูดถึง
ในเมื่อมาตรการโจมตีซีเรียเดินหน้าแน่นอนแล้ว โดยที่พันธมิตรนาโต้สองแห่ง คืออังกฤษ กับเยอรมนี ขอนั่งดูเฉยๆ (กรณีอังกฤษนั้นเพราะรัฐบาลพ่ายโหวตต่อฝ่ายค้าน) ขณะที่ฝรั่งเศสยังแบ่งรับแบ่งสู้ และอิสรเอลกับซาอุดิอาราเบียกระตือรือล้นอยากให้ลุยเร็วๆ
สิ่งที่ทั้งรัฐบาลโอบาม่า และรัฐสภาคองเกรสต้องคิดหนักในช่วงหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ก็คือจะตีอย่างไรให้การสั่งสอนได้ผล สามารถทำลายคลังอาวุธแก๊สพิษ หรือตัดกำลังจนกระทั่งซีเรียไม่อาจใช้อาวุธเหล่านั้นได้อีก (โดยการทำให้แสนยานุภาพทางทหารของซีเรียง่อยเปลี้ยไป) ทั้งนี้โดยตระหนักถึงยุทธวิธีเกี่ยวกับการใช้อาวุธแก๊สพิษในซีเรียที่ว่า มีการทิ้งมาจากเฮลิค็อปเตอร์ และยิงด้วยจรวดขนาดเล็ก
ข้อสำคัญที่สุดซึ่งรัฐบาลโอบาม่ายังไม่ได้เอ่ยถึง แต่นายพลมาร์ติน เด็มซี่ย์ ประธานเสนาธิการทหารทำบันทึกถึงสภาคองเกรสเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และแวดวงสื่อสารวิพากษ์วิจารณ์กันขรมแล้วว่า จะสามารถจำกัดความผูกพันในสงครามกลางเมืองซีเรียได้จริงหรือ อเมริกาภายใต้การนำของบารัค โอบาม่าจะไม่ลงไปจมปลักในสงครามภายในของประเทศอื่นอย่างสิ้นเปลืองแล้วขายหน้าภายหลัง ดังกรณีเวียตนามในยุคเค็นเนดี้-จอห์นสัน หรืออาฟกานิสถานยุคบุสช์ (ผู้พ่อ) หรืออิรักยุคบุสช์ (คนลูก) อีกไหม
ความหวังอย่างเลอเลิศว่าการโจมตีซีเรียของรัฐบาลอัสสาดจะได้ผลชงัดเหมือนการทิ้งระเบิดโคโซโวในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตันเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๙ ซึ่งใช้การทิ้งระเบิด ๗๘ วันบีบให้รัฐบาลของผู้เผด็จการสโลโบดาน มิลโลโซวิค แห่งเซอร์เบียซึ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชนยอมจำนนนั้น อาจกลายเป็นเลื่อนลอย ดังที่ แพ็ตทริก ค็อกเบิร์นเขียนวิจารณ์ไว้ใน เดอะอินดีเพ็นเด๊นซ์ ว่า
ข้อแตกต่างอันยิ่งยวดอย่างหนึ่งอยู่ที่ อัดสาดอยู่ในฐานะที่มั่นคงกว่าเมื่อครั้งมิลโลโซวิคในเซอร์เบีย ซัดดัม ฮุสเซนในอีรัก หรือมูอัมมาร์ กัดดาฟีในลิเบีย ผู้นำทั้งสามที่กล่าวถึงนั้นล้วนถูกโดดเดี่ยวในเวทีนานาชาติ แต่อัดสาดไม่ถึงขนาดนั้น เขายังได้รับการหนุนหลังจากรัสเซียอย่างเหนียวแน่น จะเห็นได้จากทันทีที่โอบาม่าประกาศว่ามีหลักฐานเชื่อได้แน่ว่าอัดสาดใช้อาวุธแก๊สพิษจริง ประธานาธิบดีวราดิเมียร์ ปูติน แถลงค้านทันควันว่าไม่จริง และอ้างว่าเป็นฝีมือของพวกต่อต้านอัดสาดสร้างสถานการณ์ให้ตะวันตกเข้าไปแทรกแซงในซีเรีย
ถึงแม้ทูตสหรัฐประจำมอสโคว์ไปมอบเอกสารหลักฐานสารพิษซารินในเส้นผม และตัวอย่างเลือดที่เก็บจากบริเวณถูกถล่มโดยแก๊สในท้องที่ดามัสกัสตะวันออกให้แก่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียโดยตรง นายเซอร์ไก แล็ฟร้อฟ กลับบอกว่าข้อมูลเหล่านั้นไม่มีอะไรใหม่ไปกว่าที่ตนรู้ “ไม่มีข้อเท็จจริงยืนยันว่าการเก็บรวบรวมตัวอย่างหลักฐานได้มาโดยมืออาชีพ”
ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศนี้เองเป็นเหตุจูงใจไม่มากก็น้อยให้ทั้งในฝ่ายรัฐบาล พรรคเดโมแครท และเสียงข้างมากรีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรคล้องจองกันหนุนหลังมาตรการส่งกำลังทางอากาศไปโจมตีซีเรียให้จงได้ ประธานาธิบดีเองก็เอ่ยโดยอ้อมๆ ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (ที่ ๓ ก.ย.) นั่นคือถ้าหากไม่ทำอะไรก็จะเป็นช่องให้อิหร่านซึ่งวางตนเป็นพี่เอื้อยของรัฐบาลอัดสาดได้ใจ 
หากการทิ้งระเบิดซีเรียบานปลายออกไป อิหร่านซึ่งมีความใกล้ชิด และให้การช่วยเหลือสนับสนุนปฏิบัติการต่อสู้ และต่อต้านอิสรเอลโดยกลุ่มเฮซโบลล่าห์ในเลบานอน อาจตัดสินใจเข้าไปร่วมจมปลักเป็นฝักฝ่ายตรงข้ามกับสหรัฐ พร้อมกันนั้นก็จะฉวยโอกาสเร่งรัดโครงการผลิตอาวุธปรมาณูของตนด้วย
แม้นว่านับแต่นายจอห์น แครี่เข้าไปเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ การพูดคุยเพื่อให้อิหร่านยุติโครงการผลิตอาวุธปรมาณูเป็นมาด้วยดี กระทรวงต่างประเทศสหรัฐทำการติดต่อเจรจากับรัฐบาลใหม่อิหร่านของประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี ในทางลึกโดยมีสุลต่าน คาบู้ส บินซาอิด อัลซาอิด แห่งโอมานเป็นตัวกลาง ทั้งนี้เนื่องจากประธานาธิบดีคนใหม่ของอิหร่านมีแนวคิดต้องการปรับกระบวนการเมืองถ้อยทีถ้อยเจรจากับสหรัฐมากขึ้น แม้ในกรณีซีเรียประธานาธิบดีรูฮานีก็ยังเขียนเฟชบุ๊คของเขาเป็นภาษาอังกฤษว่าไม่เห็นด้วยที่ซีเรียใช้อาวุธแก๊สพิษกับประชาชน
เช่นนี้มาตรการตีซีเรียของประธานาธิบดีโอบาม่าจึงตกอยู่ในสภาวะที่ ช้าไป และน้อยไปในความคิดของสายเหยี่ยวที่ดูจะมีพลังเหนี่ยวรั้ง และยับยั้งมากกว่าตัวตนของคะแนนเสียงที่ปรากฏ ประธานาธิบดีอิหร่านเองก็ยังวิเคราะห์สถานะของโอบาม่าเปรียบเทียบกับตนเองว่าคล้ายคลึงกัน คือทั้งที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาก็ยังทำตามแนวคิดของตนไม่ได้เต็มที่ ถ้านโยบายนั้นถูกต่อต้านจากพวกอนุรักษ์นิยม
ธอมัส ฟรี้ดแมน คอลัมนิสต์อเมริกันที่ได้รับความนิยมสูงคนหนึ่งเสนอว่า ประธานาธิบดีโอบาม่าจะร้อยด้ายเข้ารูเข็มในมาตรการสกัดกั้นการใช้อาวุธแก๊สพิษในซีเรีย โดยไม่เข้าไปจมปลักสงครามภายในยืดเยื้อ และไม่เป็นผลพลอยได้กระตุ้นให้อิหร่านกับเฮชโบลล่าห์กร้าวกร่างขึ้นมากว่าเดิมละก็ ไม่ควรใช้วิธีตีให้สะดุ้งจังงัง (shock and awe) ต้องใช้การ ‘arm and shame’ (ติดอาวุธ และทำให้อาย) แทน
ในบทความเรื่อง 'อาร์ม แอนด์ เชม'ของนายฟรี้ดแมนเมื่อวันพุธที่ ๔ ก.ย. เขาแนะให้รัฐบาลอเมริกันใช้วิธีการฝึกฝนทักษะการรบ และสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์แก่กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอัดสาดแทน อันรวมถึงการติดอาวุธหนักอย่างจรวดต่อสู้อากาศยาน และปืนใหญ่ปะทะรถถัง
โดยจะก่อผลให้ซีเรียถูกแบ่งเป็นเขตอิทธิพลของสองฝ่ายที่ไม่สามารถเอาชนะต่อกันและกันได้
ประธานาธิบดีอัดสาดแห่งซีเรีย
เพราะถึงอย่างไรก้นบึ้งของปัญหาในซีเรียเป็นความขัดแย้งพื้นฐานเรื่องเชื้อชาติระหว่างชนสองเผ่าพันธุ์ คือพวกอลาไว้ท์ที่รายล้อมตระกูลอัดสาด และชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นเชื้อสายอาหรับมุสลิมชีไอ๊ท์ กับพลเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นอาหรับเผ่าพันธุ์ซันนี่ โดยมีชนเชื้อสายเคิ้ร์ดตามชายแดนร่วมแจมอยู่ด้วย 
ในหมู่ชาวอาหรับซันนี่ที่รวมตัวกันเป็นกองกำลังต่อสู้กับรัฐบาลอัดสาดก็ยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ พวกนิยมตะวันตกของ กองทัพปลดแอกซีเรีย กับพวกมุสลิมหัวแข็งที่ใกล้ชิดกับขบวนการจีฮัด และอัลไคดาห์ของ แนวหน้านูสรา
เมื่อตอนสงครามกลางเมืองซีเรียอายุสองปีครึ่งถึงขีดสุดของความรุนแรงกลางปีที่แล้ว ฝ่ายกองกำลังประชาชนเรียกร้องให้อเมริกาสนับสนุนทางทหาร แต่รัฐบาลโอบาม่าไม่กล้าช่วยเต็มที่เพราะเห็นว่าปฏิบัติการกองโจรในซีเรียปะปนยุ่งเหยิง สหรัฐหวั่นว่าอาวุธจะตกไปอยู่ในมือของกลุ่มอัลไคดาห์
มาบัดนี้ชัดเจนแล้วว่าใครเป็นใครในฝ่ายต่อสู้กับอัดสาด การติดอาวุธหนักให้กับกลุ่มกองทัพปลดแอกนอกจากจะยับยั้งฝ่ายอัดสาดได้แล้วยังป้องปรามอัลไคดาห์ไปด้วย
 
นอกเหนือจากนั้นนายฟรี้ดแมนเสนอให้ทำการประจานความชั่วร้ายของอัดสาด กับภรรยาของเขา และน้องชาย โดยไม่เพียงกล่าวโทษในสภาความมั่นคงสหประชาชาติเท่านั้น ยังต้องฟ้องร้องกับศาลอาญาระหว่างประเทศให้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก ว่าคนกลุ่มนี้ได้ก่ออาชญากรรมไว้แก่มวลมนุษยชาติ 
การดำเนินคดีอาจไม่เห็นผลทันใจ แต่การประจานเช่นนี้จะเป็นรอยสักปักบนหน้าผากไปตลอดชีวิตของอาชญากรผู้สั่งการเหล่านั้น

2 comments:

  1. รัฐบาลโอบามาใช้หลักฐานการโจมตีด้วยอาวุธเคมีเพียงครั้งเดียวกับอ้างหลักการว่าทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อโจมตีซีเรีย โดยละทิ้งกระบวนการของสหประชาชาติ กฎเกณฑ์ ระบบความมั่นคงของโลก
    http://www.chanchaivision.com/2013/09/Obama-weight-war-Syria-2-130908.html

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณคุณชาญชัยที่นำมาแลกเปลี่ยน ที่จริงประเด็นการตีซีเรียของอเมริกา เป็นการเมืองมากกว่าการทูตครับ

    ReplyDelete