เมื่อใกล้สิ้นเดือนที่แล้วขณะม็อบนกหวีดปิดกรุงเทพฯ
ทำทีจะเข้าไคล้ตามมโนของแกนนำ ก็มีเหตุการณ์ในต่างประเทศสองแห่งที่เหมือนว่าจะคล้ายไทยแต่แล้วกลับไม่ใช่
นอกจากการประท้วงในยูเครนยังมีเหตุฝีแตกในเวเนซูเอล่าที่ระบมมาตั้งแต่ปลายปี
ความขัดแย้งทางการเมืองในเวเนซูเอล่าดูไม่น่าจะเหมือนไทยเพราะเป็นประเทศสังคมนิยม
แต่ทำไปทำมาทำท่าจะเป็นกรณีศึกษาเก็บไว้ใช้อ่านเอาเรื่องเมืองไทยได้เหมือนกัน
อย่างน้อยๆ
ในประเด็นที่ผู้นำการประท้วงรัฐบาลเขาแน่จริง ในเมื่อกล้าต่อต้านอำนาจรัฐแต่ไม่สามารถจุดติดการกบฏ
เขาก็กล้าแอ่นอกรับความจริงยอมมอบตัวให้เจ้าพนักงานควบคุมไปฐานที่ก่อให้เกิดความรุนแรง
ในประวัติศาสตร์การปกครองของไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีย้อนขึ้นไปถึงยุคอโยธยาการเปลี่ยนรัชกาลหลายครั้งเกิดจากการยึดอำนาจและ/หรือสังหารเจ้าองค์เก่าแล้วตั้งตัวเป็นเจ้าองค์ใหม่
โดยธรรมเนียมปฏิบัติที่ยอมรับกันมาว่าถ้าการยึดอำนาจสำเร็จผู้ชนะจะเป็นองค์อธิปัตย์คนใหม่
ผู้แพ้ก็ต้องกลายเป็นกบฏไป no matter what
คงรู้กันพอสมควรแล้วว่าเวเนซูเอล่าเป็นประเทศอุดมน้ำมันในอเมริกาใต้ที่การเมืองการปกครองอยู่ภายใต้
‘ระบอบชาเวซ’ หรือสังคมนิยมสไตล์คิวบา ‘โบลิวาเรีย’
ซึ่งมีรัฐบาลประชานิยมเครือข่ายของอดีตประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ
ได้รับเลือกตั้งติดต่อกันมาหลายครั้ง แม้กระทั่งเคยถูกรัฐประหารแล้วก็ยังกลับไปเป็นรัฐบาลได้ใหม่ด้วยคะแนนเสียงที่ประชาชนรากหญ้ามอบหมายให้
แต่ว่าหลังสุดเมื่อนายชาเวซจบชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง
รัฐบาลใหม่จากชัยชนะเลือกตั้งอย่างสูสีของนายนิโคลาส มาดูโร (ซึ่งนายชาเวซคัดตัวให้มารับช่วงต่อจากตน)
นอกจากเผชิญกับคู่แข่งที่แม้จะแพ้คะแนนเสียงแต่ก้ไม่ยอมแพ้เกมชิงอำนาจ ประจวบกับปัญหาเศรษฐกิจทรุดโทรม
ค่าเงินตกฮวบ อาหารขาดแคลน และไม่สามารถทำรายได้จากทรัพยากรน้ำมันมากอย่างเคย
การประท้วงบนท้องถนนภายใต้การชักใยของฝ่ายค้านจึงเกิดขึ้น โดยมีผู้สนับสนุนและร่วมชุมนุมเป็นพวกชนชั้นสูงและชั้นกลาง
ทำนองเดียวกับม็อบนกหวีดของไทย และใช้สโลแกนการประท้วงว่า 'ลา ซาลิด้า' หรือ
‘ทางออก’ เรียกร้องให้ประธานาธิบดีสละตำแหน่งในทันที
การประท้วงรัฐบาลในเวเนซูเอล่าแม้จะจุดกระแสโค่นรัฐบาลไม่ติดเพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งอยู่ในข่ายยากจนไม่สน
ไม่หนุน ไม่เอาด้วย คนจนที่เป็นฐานเสียงของรัฐบาลเหล่านี้พึงพอใจกับนโยบายประชานิยม
เช่นค่าโดยสารขนส่งสาธารณะรถรางถูกมากแล้วยังมีเครือข่ายกว้างขวาง
ค่าน้ำค่าไฟอยู่ในอัตราต่ำ แถมในย่านสลัมมีไวฟายอินเตอร์เน็ตบริการฟรีจากรัฐ
ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมาดูโรที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วนำโดย
เฮ็นริเก้ คาปริเลส หัวหน้าฝ่ายค้านซึ่งแพ้เลือกตั้งอย่างเฉียดฉิวต่อนายมาดูโรเมื่อเดือนเมษายนนั้น
แม้จะต่อเนื่องแต่ก็มีคนร่วมน้อยครั้งละเพียงสองสามพัน
จนกระทั่งเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากอย่างล้นหลามเป็นประวัติการณ์ภายใต้การขึ้นมานำอย่างโดดเด่นของ
ลีโอโปลโด โลเปซ นักเศรษฐศาสตร์จบจากฮาวาร์ด ที่ท้ายสุดยอมมอบตัวต่อตำรวจเมื่อวันที่
๑๘ กุมภาพันธ์ หลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นระหว่างการประท้วงจนมีผู้เสียชีวิตมากหลายราย
บาดเจ็บนับร้อย
ฝ่ายประท้วงในเวเนซูเอล่าประกอบด้วยสามกลุ่มที่ร่วมมือกันอย่างหลวมๆ
ได้แก่พรรคฝ่ายค้านที่คับแค้นด้วยความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งหลายครั้งหลายหน ทั้งในระดับเทศบาล
สภาผู้แทน และการเลือกตั้งประธานาธิบดี กับกลุ่มนักศึกษาที่เริ่มจากความไม่พอใจรัฐบาลในระบอบชาเวซ
หรือ ‘ชาวิสต้า’ ที่ใช้วิธีการบีบคั้นเข้าควบคุมสื่อ และเมื่อเดือนพฤศจิกายนยังได้รับอำนาจพิเศษเด็ดขาด
๑ ปีในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ อันไปพ้องกับความไม่พอใจของอีกกลุ่มตัวแทนชนชั้นสูงซึ่งโจมตีรัฐบาลว่าทำให้สินค้าราคาแพงและขาดตลาด
สภาพขาดแคลนที่ชนชั้นสูงอ้างบางครั้งก็เพ้อพกเสียจนน่าขัน
ดังหนังสือพิมพ์ออนไลน์ อัลจาซีร่าอเมริกา
รายงานความรู้สึกของผู้ประท้วงนางหนึ่งในกลุ่มชนชั้นสูงซึ่งสนับสนุนนางมาเรีย คอรีน่า
มาชาโด เศรษฐีนีของตระกูลเจ้าของเครือข่ายสื่อสารยักษ์ใหญ่ในประเทศ ที่บอกว่า “มีอย่างที่ไหน ราคาอาหารหมากิโลละตั้ง ๔๐๐
โบลิวาร์ (ราว ๑,๙๐๐ บาท) เหลวไหลสิ้นดี”
ขณะที่ลูกชายของหล่อนเป็นสมาชิกขบวนการนักศึกษา
(ORDEN)
ให้การสนับสนุนแก่กลุ่มประท้วงของนายลิโอโปลโด เขาบอกว่าพรรคฝ่ายค้านนั้นเชื่องช้ายืดยาดไม่ทันใจ
นักศึกษาเหล่านี้เองที่หันไปใช้วิธีการรุนแรง
เช่นขึงลวดกั้นถนนเพื่อดักมอเตอร์ไซค์อันเป็นยานพาหนะนิยมใช้ในหมู่ชนชั้นรากหญ้าสมาชิกชาวิสต้า
จนทำให้ผู้ขับขี่จักรยายนต์วัย ๒๙ ปีคนหนึ่งถูกลวดตัดหัวขาด
วิธีการชั่วช้านี่ก็มาจากคำแนะนำบนเฟชบุ๊คของอดีตนายพลที่สนับสนุนฝ่ายค้านคนหนึ่ง
ฝ่ายประท้วงสองกลุ่มหลังคือนักศึกษาชนชั้นกลางและพวกนักธุรกิจชนชั้นสูงนั้นมีความใกล้ชิดกันอยู่
แม้จะไม่ได้ดำเนินยุทธวิธีไปในแนวเดียวกันก็ตาม
ดังจะเห็นว่าพวกนักศึกษามักประท้วงอย่างเร่าร้อนและรุนแรง ขณะที่ชนชั้นสูงเพียงแต่ออกไปชุมนุมปิดกั้นถนนถ่ายรูป
‘เซ้ลฟี่’ กันเหมือนเที่ยวงานมาดิกรา ดังปรากฏ ภาพข่าวในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทมส์
ผู้ประท้วงในท้องที่ซาน คริสโตบอลสร้างเครื่องกีดขวางถนนเหมือนรั้วริมหาด แล้วมีสตรีนางหนึ่งปูผ้านอนอาบแดดในชุดบิกินี่
ความคล้ายคลึงระหว่างการประท้วงในกรุงคารากัสกับในกรุงเทพฯ
อย่างหนึ่งก็คือการแบ่งแยกด้วยสีเสื้อ ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านใช้สีขาว กลุ่มของพวกชนชั้นสูงชอบใช้สีธงชาติ
ส่วนพวกชาวิสต้าของรัฐบาลมีสีแดงเป็นเอกลักษณ์
แต่นี่เป็นแค่ความเหมือนที่เปลือกนอก
เช่นเดียวกับการแบ่งฝ่ายตามชนชั้น และการแตกแยกทางอุดมการณ์
แม้ฝ่ายค้านเวเนซูเอล่าจะออกไปประท้วงบนท้องถนนให้รัฐบาลลาออกเพราะเอาชนะด้วยการเลือกตั้งไม่ได้เสียทีเช่นเดียวกับของไทย
แต่รายงานของอัลจาซีร่าบ่งว่า การโค่นรัฐบาลในเวเนซูเอล่าไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าหากไม่ได้รับความร่วมมือจากคนยากจนที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
แม้แต่แกนนำฝ่ายประท้วงคนหนึ่งคือ
เฮ็นริเก้ คาปริเลส ก็ยอมรับว่า “การเปลี่ยนแปลงในเวเนซูเอล่าเป็นไปไม่ได้ถ้าคนในสลัมไม่เข้าไปมีส่วนร่วม”
ทั้งเอ็นริเก้
และอีกสองแกนนำ (ลีโอโปลโด โลเปซ กับ มาเรีย คอรีน่า มาชาโด) ล้วนอยู่ในเครือข่ายนักธุรกิจชนชั้นผู้มีอันจะกิน
แถมมีแบ็คดีดังที่ข้อมูลวิกิลี้คเปิดเผยว่า กลุ่มประท้วงเหล่านี้ได้รับผลประโยชน์จากเงินทุนเกื้อหนุนประชาธิปไตยของสหรัฐเป็นจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์
โดยฝ่ายรัฐบาลก็ยึดมั่นอุดมการณ์ปฏิวัติโบลิวาร์เหนียวแน่นมาตลอด
จึงแสดงถึงอิทธิพลจากภายนอกต่อการแบ่งแยกภายในชัดแจ้ง
ดังข้อสรุปของขบวนการนักศึกษาที่ว่า “เวเนซูเอล่าถูกควบคุมโดยผลประโยชน์นานาชาติ
ฝ่ายค้านถูกสหรัฐควบคุม ฝ่ายรัฐบาลโดยคิวบา หนทางออกอยู่ที่วิถีชาตินิยมเท่านั้น”
ขณะที่ผู้ประท้วงในคาราคาสตะโกนก่นด่า
‘เผด็จการแบบคิวบา’ ภาวะเศรษฐกิจก็กำลังกัดกร่อนความไว้วางใจในรัฐบาลลงไป แต่เดวิด สมิลเด
กรรมการอาวุโสของสำนักงานวอชิงตันเกี่ยวกับลาตินอเมริกา (WOLA) ซึ่งเป็นองค์กรพลเรือน (NGO) ให้ความเห็นว่า ฝ่ายค้านทำแค่นั้นไม่พอ ทางที่ดีควรจะยื่นมือเข้าไปหาพวกคนยากจนเพื่อขยายฐานเสียงของตนด้วย
จึงจะพร้อมเข้าไปแทนที่ได้เมื่อฝ่ายรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำในทางใดทางหนึ่ง
ส่วนสถานการณ์ในไทยนั้นต่างออกไป
ฝ่ายประท้วงในกรุงเทพฯ ดูจะไม่คำนึงถึงเรื่องฐานเสียงในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นชนชั้นล่าง
(ดูได้จากการที่ผู้ขึ้นอภิปรายบนเวทีชุมนุมส่วนมากมักบอกว่าคนรากหญ้าเป็นพวกบ้านนอกด้อยการศึกษา
ไม่เหมาะแก่การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการปกครอง
เพราะถูกหลอกถูกจูงจากนักเลือกตั้งได้ง่าย) จึงทำให้ม็อบนกหวีดไม่แยแสกับการเลือกตั้ง
มุ่งแต่เสนอการปกครองโดยคนดีที่อิงกับสถาบันกษัตริย์ และคุ้มครองโดยอิทธิฤทธิ์พวกทหาร
แต่ว่าโดยทฤษฎีการปกครองประชาธิปไตยตะวันตก
กับตัวอย่างในอเมริกาใต้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมือผู้บริหารประเทศโดยปราศจากแรงสนับสนุนของคนรากหญ้า
ถึงจะดันทุรังไปได้สมใจก็ไม่สามารถปกครองต่อไปได้อย่างราบรื่น
ในเวเนซูเอล่าใช่ว่าจะไม่มีความรุนแรงอย่างของไทย
แต่ละฝ่ายมีสัดส่วนภายในกระบวนการของตนที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงอยู่ทั้งคู่
ฝ่ายค้านมีกลุ่มนักศึกษา ฝ่ายรัฐบาลก็มี ‘คอมมูน’ (Collectivos) ที่เคยถึงกับรัฐบาลต้องออกมาประณามกันในบางครั้ง จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นจนถึงบัดนี้
๑๘ รายไล่เลี่ยกับไทย แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังมีการเลือกตั้งเป็นสรณะ
ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะอิงคิวบาอีกฝ่ายอิงอเมริกา
No comments:
Post a Comment