Tuesday, June 19, 2012

อียิปต์เอาอย่างไทย ว่าแต่มีไหม “อีแอบ"


ผู้ที่เกาะติดสถานการณ์อียิปต์ช่วงนี้คงอดคิดไม่ได้ว่า เขาเอาอย่างไทยนี่หว่า

บ้างอาจคิดเลยเถิดไปถึงว่าอาจมาจากทฤษฎีเดียวกันในฐานที่ทั้งสองประเทศมีสิ่งเหมือนกันอย่างหนึ่ง คืออำนาจการเมืองล้นหลามอยู่ที่ทหาร และผู้ชักใยลึกล้ำที่ปลายเชือกคือเอ็นเอสซี และ/หรือเพ็นตากอน

แต่ช้าก่อน ข้อคิดนั้นอาจผิด หรือถูกนิดเดียวก็ได้ ในเมื่อคณะทหารอียิปต์ที่แสดงอำนาจอย่างก้าวร้าวเวลานี้แทบไม่เห็นมีสายใยผูกโยงกับอดีตผู้เผด็จการสูงสุดของตนเหลืออยู่ ในสภาพที่อดีตประธานาธิบดีฮอสนิ มูบารัค ถูกควบคุมตัว (ในโรงพยาบาล) จากคำตัดสินจำคุกตลอดชีวิตข้อหาสมรู้กับการเข่นฆ่าประชาชน แถมสุขภาพทรุดหนัก ลูกเมีย และบริวารใกล้ชิดหมดสิทธิเหี้ยนหือเหมือนเก่า

อีกทั้งสภาความมั่นคง (National Security Council) และกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ผู้ที่ได้รับการวิพากษ์คาดเดาว่าจับปลายเชือกชักใยคณะทหารอียิปต์อยู่ไกลๆ นั้นแสดงท่าทีเห็นชัดว่าตัดเชือกมูบารัคไปแล้ว แต่อาจยังถือหางคณะทหารชุดที่กุมอำนาจปัจจุบันอยู่ในที ด้วยการไม่ค่อยว่ากล่าวติเตือนในฐานะที่เป็นพี่เอื้อยเท่าไรนัก แม้เมื่อคณะทหารอียิปต์จะออกนอกแถวประชาธิปไตยไปไกลพอสมควรก็ตาม

ดังเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมากระทรวงวางแผน และความร่วมมือต่างประเทศของอียิปต์เปิดฉากจับกุมดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่นานาชาติขององค์การส่งเสริมประชาธิปไตยในไคโร ๔๓ คน ที่เป็นชาวอเมริกันเสีย ๑๖ คน (อีกสามคนไม่ถูกจับกุมเพราะอยู่นอกอียิปต์) ในข้อหาดำเนินการเปิดชั้นเรียนให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยแก่ชาวอียิปต์โดยไม่มีใบอนุญาต

เรื่องนี้เป็นที่วิจารณ์กันมากว่ารัฐบาลชั่วคราวอียิปต์กระทำการอย่างไม่ไว้หน้าพี่เอื้อย ในเมื่อเป้าหมายหลักของสหรัฐในการเกื้อหนุนอียิปต์ด้วยงบประมาณช่วยเหลือมาเป็นเวลาสามสิบปีมูลค่ากว่า ๕ หมื่นล้านเหรียญ โดยเฉพาะความช่วยเหลือทางการทหารปีนี้ ๑,๓๐๐ ล้านเหรียญ*(1) นอกจากผลทางด้านความมั่นคงสามารถประคองรักษาดุลยภาพระหว่างอียิปต์ อิสรเอล และสหรัฐในภูมิภาคได้ดีแล้ว ยังมีจุดมุ่งหมายในการเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตยอีกด้วย

นับแต่การโค่นล้มผู้เผด็จการมูบารัคโดยขบวนการ อาหรับสปริง สำเร็จมาเป็นเวลาปีกว่า ปรากฏว่าความสำเร็จที่เรียกกันในอียิปต์ว่าการปฏิวัติประชาชนกลับถูกฉกฉวย (Highjack) เอาไปเสียเกือบสิ้นเชิงโดยคณะทหาร เมื่อมีสภากลาโหมเข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศแทนรัฐบาลรักษาการ และดูแลการเลือกตั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการมูบารัคไปสู่ประชาธิปไตยโดยตัวแทนประชาชน

สภากลาโหมอันเป็นศูนย์บัญชาการของคณะทหารแทนที่จะประคับประคองการเลือกตั้ง และการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการปกครองของกลุ่มตัวแทนประชาชน กลับพยายามกินรวบ ครอบงำ และกระชับอำนาจของตนอย่างไม่รั้งรอ จนกระทั่งถึงจุด หักดิบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ มิถุนายนด้วยการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ในคำพิพากษาคดีเกี่ยวกับร่างกฏหมายที่สภาอนุมัติห้ามนายทหาร และอดีตข้าราชการการเมืองของรัฐบาลมูบารัคลงสมัครรับเลือกตั้งในสัดส่วนของผู้สมัครอิสระ

สภาผู้แทนฯ ที่กลุ่มภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ครองเสียงข้างมากนั้นได้ผ่านกฏหมายออกมาฉบับหนึ่งเป็นผลให้นายอาห์เม็ด ชาฟิค อดีตนายพลอากาศผู้ที่มูบารัคแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายจะต้องหมดสถานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

สองวันก่อนการออกเสียงเลือกตั้งรอบสุดท้ายระหว่างผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสองคน คือนายชาฟิคกับนายโมฮาเม็ด มอร์ซี ตัวแทนมุสลิมภราดรภาพ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างลุกลี้ลุกลนว่า การอนุมัติกฏหมายของสภาไม่สอดคล้องกับธรรมนูญชั่วคราวที่สภากลาโหมได้ประกาศใช้เป็นแนวทางสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลรักษาการ

จึงตัดสินให้นายชาฟิคยังคงมีสถานะผู้สมัครต่อไป และสั่งยุบสภาผู้แทนฯ ทันที อันเป็นการตัดสินที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตุลาการสกัดกั้นตัดตอนสถาบันนิติบัญญัติอย่างอุกอาจ ในลักษณะที่คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยสั่งให้รัฐสภาระงับการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสาม

เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วโลกว่าศาลรัฐธรรมนูญอียิปต์ซึ่งล้วนประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มาจากการแต่งตั้งของมูบารัคทั้งสิ้นนั้น ได้ทำการรัฐประหารแบบนุ่มๆ เสียแล้ว

เท่านั้นไม่พอ สองวันให้หลังระหว่างที่รอการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี และปรากฏคะแนนของฝ่ายภราดรภาพมุสลิมนำอย่างสูสี แต่มั่นใจได้ว่าโมฮาเม็ด มอร์ซี คงจะเป็นผู้ชนะ สภากลาโหมอียิปต์ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวของตนขึ้นมา โดยมีเนื้อหาสำคัญที่กำหนดอำนาจในการควบคุมการบริหารงานของนายกรัฐมนตรี กำกับการด้านนิติบัญญัติ ดูแลการจัดงบประมาณแผ่นดิน และอนุมัติการประกาศสงคราม ให้ขึ้นอยู่กับสภากลาโหมทั้งสิ้น

ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญอียิปต์เลียนแบบไทย ถึงจุดนี้สภากลาโหมอียิปต์ดูเหมือนจะแซงหน้าไปไกลแล้วทีเดียว หวังแต่ว่านายทหารไทยที่ไปประชุมกันที่อยุธยาเมื่อวันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์ในชุดทหารบกเสด็จพระราชดำเนินไปทรงรับการถวายที่ดินทุ่งมะขามหย่องจากตระกูลชินวัตร ตามรายงานของนักวิชาการมหาวิทยาลัยอะเดลเลด ออสเตรเลียนั้น*(2) คงจะไม่คิดเอาอย่างบ้างหรอกนะ

เนธาน บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญกรณีศึกษาอียิปต์แห่งมหาวิทยาลัยจ๊อร์จ วอชิงตันวิเคราะห์ไว้ว่า รัฐธรรมนูญชั่วคราวของสภากลาโหมอียิปต์เป็นการ ทำให้รัฐประหารเสร็จสมบูรณ์อย่างที่น่าจะเป็นมาแล้วหลายครั้ง....มันนำเอากฏอัยการศึกกลับมา ปกป้องคณะทหารจากการตรวจสอบโดยสาธารณะ โดยประธานาธิบดี หรือโดยรัฐสภา มันทำให้การครอบงำการเมืองโดยทหารยังคงดำรงอยู่ต่อไป”*(3)

อันที่จริงคณะทหารอียิปต์ผ่านทางศาลรัฐธรรมนูญมีความพยายามที่จะล้มล้างองค์กรนิติบัญญัติ และรวบอำนาจเบ็ดเสร็จมาก่อนหน้านี้แล้วอย่างน้อยสองครั้ง ในปีค.ศ. ๑๙๘๗ และ ๑๙๙๐*(4) ด้วยข้อกล่าวหาอย่างเดียวกันในเรื่องที่ว่าสภาใช้อำนาจเกินขอบข่าย แต่ละครั้งก็ถูกสภาปฏิเสธที่จะรับคำตัดสินเช่นเดียวกับครั้งนี้ ซึ่งตัวแทนเสียงข้างมากในสภา (โฆษกของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม) ประกาศว่าจะไม่รับฟังคำตัดสินของศาล สภากลาโหมจึงได้ประกาศรัฐธรรมนูญใหม่ชั่วคราวออกมาข่ม

คณะทหารอียิปต์ชุดที่กุมอำนาจอยู่ปัจจุบันน่าจะขาดสายป่านกับมูบารัคไปแล้วดังกล่าวข้างต้น และพยายามที่จะจัดตั้งว่านเครือ (Dynasty) ผู้ปกครองสายใหม่ ด้วยการรวบรัดอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังจากที่ฉกชิงผลพวงของอาหรับสปริงไปจากพวกนักปฏิวัติประชาชนที่ไม่มีกำลังแสนยานุภาพทางอาวุธ จึงใช้ยุทธวิธีทุกวิถีทางที่จะปิดฝาโลงอุดมการณ์แห่งการมีส่วนร่วมทางการปกครองของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ที่เรียกรวมๆ ว่าประชาธิปไตย

คณะทหารของไทย และกลุ่มคนที่อยู่ในแวดวงอำนาจทางการเมืองที่เรียกกันว่า อำมาตย์ ก็ไม่น่าจะต่างไปเท่าใดนัก ต่างแต่ว่าคณะทหารอียิปต์มิได้มีภูมิคุ้มกันไว้อ้างอิงเพื่อผลักพันธะรับผิดชอบไปพ้นตัว เหมือนอย่างฝ่ายตรงข้าม กลุ่มอิสลาม (Islamist) และภราดรภาพมุสลิม ที่ย่อมอ้างอิงพระเจ้าเป็นสรณะ

ขณะที่กลุ่มทหาร-อำมาตย์ไทยก็สามารถเบี่ยงตัวเลี่ยงความรับผิดได้ด้วยการอ้างทศพิธราชธรรมแห่งสถาบันกษัตริย์อยู่เสมอ การอ้างอิงความจงรักภักดีบ้าง พระมหากรุณาธิคุณบ้าง บ่อยครั้งเป็นนามธรรมที่ลอยฟ่องเสียจนมองไม่เห็นตัวตน

แต่ครั้นการกระทำเกิดขึ้นจริง มีผู้เสียหาย มีคนตายจริง ดังกรณีสลายชุมนุม และการดำเนินคดี ม. ๑๑๒ กลับไม่มีตัวตนรับผิดชอบ ต้นตอของการกระทำไปตกอยู่กับ นามธรรม ของตัวบทกฏหมายบ้าง พระราชกำหนดบ้าง พระราชบัญญัติบ้าง เรื่อยเลยไปถึงการตีความรัฐธรรมนูญ

จึงเกิดวลี มือที่มองไม่เห็น และ ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาใช้แทนตัวตนที่ลอยฟ่องเสียจนมองไม่เห็นนั้น

แท้จริงแล้วไม่ต่างอะไรจากผู้กระทำการในความหมายของคำว่า อีแอบ ซึ่งมักจะเอาแต่ได้ ไม่รับผิดชอบการกระทำของตน ให้ผู้อื่นออกหน้า รับแรงปะทะ รับผลร้าย รับโทษ และไปตายแทน ตนนั้นอยู่เบื้องหลังคอยรับแต่ผลดีถ่ายเดียว

ปัญหาทางการเมืองของไทยที่รำไรจะไปถึงการห้ำหั่นครั้งใหญ่ ก็เป็นเพราะมีอีแอบที่ให้ทุกข์แก่คนมากมายแต่รับลาภแบ่งปันเฉพาะบริวารหมู่น้อยนี้เอง ทำให้เกิดอาชญากรรมต่อมวลมนุษย์ขึ้น โดยที่ผู้ลงมือกระทำลอยตัวเพราะอ้าง นามธรรม ดังกล่าว


*(1) รายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินคดีกลุ่มอาสาสมัครอบรมประชาธิปไตยในอียิปต์ ดูได้ที่ http://www.nytimes.com/egypt-will-try-19-americans-on-criminal-charges. และ http://www.nytimes.com/opinion/friedman-fayzas-last-dance.
*(2) เรื่องราวเต็มดูได้จาก http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2012/06/12/a-coup-missed/
*(3) http://www.nytimes.com/egyptian-presidential-vote-enters-second-day.
*(4) เนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญอียิปต์อ่านได้จากข้อเขียนของเดวิด เคิร์กแพ็ตทริก ที่ http://www.nytimes.com/new-political-showdown-in-egypt.และ


No comments:

Post a Comment