: ด้วยมุมมองจากสามัญสำนึก
และความรู้สึกว่าสิทธิมนุษยชนสำคัญกว่ากฏหมาย
การเสียชีวิตของอากง
หรือนายอำพล ตั้งนพคุณ ผ่านไปแล้วหลายวันท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างเศร้าใจ
และบางเสียงต้านอย่างโง่เขลา แต่คนไทยจำนวนมากไม่อาจหนีความปวดร้าวใจต่อเหตุผิดผีผิดไข้ในกระบวนการพิจารณาคดีครั้งนี้ไปได้
เหตุที่ว่านั่นคือ
อากงต้องตายในคุกด้วยข้อหาที่ตรงข้ามกับความเชื่อ และความสามารถของตนเอง
อากงถูกพิพากษาจำคุก
๒๐ ปี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ และพระราชินี แต่จากคำให้การ และคำสนทนาในคุกของอากงเอง
(กับสมยศ พฤกษาเกษมสุข)*(1) อนุมานได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีอย่างล้นพ้นคนหนึ่ง
เคยสวมเสื้อสีเหลืองพาหลานไปถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราช เคยไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ
และจากคำกล่าวขานของผู้ที่วิจารณ์เรื่องอากงบนเว็บสังคมสื่อสารอ้างด้วยว่า
อากงแสดงความเกลียดชังพวกเสื้อแดงอย่างเปิดเผย ชนิด “ในตลาดสำโรงรู้กันดี”
โดยเฉพาะคำพูดที่อากงตอบต่อสมยศที่ถามว่าเป็นคนจำพวกล้มเจ้าหรือเปล่า
“ผมรักในหลวง ถ้าออกจากคุกจะไปถวายพระพร” ย่อมเป็นการย้ำข้อเท็จจริงว่า แม้ศาลจะตัดสินความผิดอากงด้วย “เจตนาภายใน”
ซึ่งผู้พิพากษาอ้างว่าสามารถล่วงรู้ก็ตาม
ความเชื่อของอากงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์กลับตรงกันข้าม
เมื่อพิจารณาถึงความสามารถของอากงในการส่งข้อความสี่ชิ้นผ่านระบบเอสเอ็มเอสของโทรศัพท์มือถือไปเข้ากล่องรับข้อความของนายสมเกียรติ
ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
คำให้การต่อศาล และคำสนทนากับนายสมยศ ของอากงว่า ไม่รู้วิธีส่งเอสเอ็มเอส ก็ควรแก่การรับฟัง
โดยวิสัยของผู้บังคับใช้กฏหมายย่อมต้องค้นหาความจริงให้ปรากฏแน่ชัดว่าผู้ต้องหากระทำผิดจริงหรือไม่ มิใช่อ้างแต่เพียงข้อวินิจฉัยตามความรู้สึกว่า “แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบด้วยประจักษ์พยาน
เนื่องจากผู้กระทำผิด มีลักษณะร้ายแรงดังกล่าว
ย่อมต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้”
เพราะนี่ไม่ใช่วิธีการทำงานของผู้ดำรงวิชาชีพ
(Professionals)ในฐานะผู้พิพากษา อันเป็นวิชาชีพที่บังคับใช้กฏหมายซึ่งก่อผลแก่ชีวิตของบุคคล
ผู้พิพากษาในทางสากลนอกจากต้องไม่พิจารณาคดีด้วยความลำเอียงไปทางใดๆ
(Impartial) แล้ว ยังต้องฝึกฝนความคิด และจิตใจของตนเองไม่ให้คำนึงถึงฝักฝ่าย ทัศนะ
และแม้กระทั่งความเชื่อทางศาสนาของผู้ที่ถูกกล่าวหา
ดังคำอังกฤษที่นานาประเทศเจริญแล้วยอมรับว่าเป็นอคติเมื่อเจ้าพนักงาน (รวมถึงผู้พิพากษา)
ทำการ profiling ก่อนดำเนินคดี และตัดสิน
เหตุที่ทำให้เชื่อได้ว่าอากงเป็นผู้ไม่ประสีประสากับการใช้โทรศัพท์มือถือส่งข้อความเอสเอ็มเอส
นั้นอยู่ในลายลักษณ์อักษรคำพิพากษานั่นเองว่า “จำเลยเป็นผู้ส่งข้อความทั้งสี่ข้อความตามฟ้อง
โดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขประจำเครื่อง หรือหมายเลขอีมี่หมายเลข ๓๕๘๙๐๖๐๐๐๒๓๐๑๑
ด้วยซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข ๐๘๑๓๔๙๓๖๑๕ ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข
๐๘๑๔๒๕๕๕๙๙ ของนายสมเกียรติ”
ข้อความในคำพิพากษาข้างต้นนี้ก่อให้เกิดข้อสงสัย
เนื่องเพราะในรายละเอียดคำพิพากษา ลงวันที่ ๒๓ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๔
ซึ่งลงนามโดยนายชนาธิป เหมือนพะวงศ์
และนางสาวภัทรวรรณ ทรงกำพล*(2) นี้แหละ ระบุถึงการตรวจสอบพยานหลักฐาน
อันเป็นเครื่องโทรศัพท์มือถือของอากง และระบบการทำงานของโทรศัพท์ในการส่งข้อความเอสเอ็มเอสไว้ด้วย
แล้วไฉนจึงขัดแย้งกันในตัวเอง
ประการหนึ่งนั้น
หมายเลขอีมี่โทรศัพท์มือถือยี่ห้อมอโตโรล่าของอากงมี ๑๕ หลัก แต่ศาลอ้างถึงเครื่องโทรศัพท์ที่กระทำความผิดเพียง
๑๔ หลักแรกที่ตรงกัน ส่วนหมายเลขหลักที่ ๑๕ ซึ่งเครื่องของอากงมีหมายเลข ๖ แต่หลักฐานจากบริษัท
ทรู มูฟ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น หมายเลขหลักที่ ๑๕
ของเครื่องที่กระทำผิดเป็นเลข ๐
ศาลอ้างว่าได้มีการทดลองใส่หมายเลข
๐ ถึง ๙ ตามหลังเลข ๑๔ หลักแล้ว พบแต่เพียงหมายเลข ๖
ของอากงเท่านั้นที่สามารถแสดงรุ่น และยี่ห้อได้ ศาลจึงลงความเห็นว่าข้อความอันเป็นการหมิ่นราชินี
และกษัตริย์ทั้งสี่ได้ส่งออกไปจากเครื่องของอากง
โดยมิได้ขวนขวายหาข้อเท็จจริงให้ละเอียดถึงที่สุดว่าเหตุใดเมื่อทดลองใส่หมายเลขอื่นๆ
ในหลักที่ ๑๕ แล้วไม่สามารถแสดงรุ่นกับยี่ห้อของเครื่องได้ และเหตุใดหลักฐานรายงานหมายเลขอีมี่หลักที่
๑๕ ของเครื่องโทรศัพท์ที่กระทำความผิดจึงไม่ตรงกับเครื่องของอากง
โดยวิธีการพิจารณาคดีที่ถูกต้องตามสามัญสำนึก
และหลักสิทธิมนุษยชนสากล ในเมื่อผู้ต้องหายืนยันปฏิเสธการกระทำผิด
ก่อนที่จะตัดสินลงไป และเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ถูกกล่าวหา (ไม่ใช่ต่ออัยการผู้เป็นโจทก์)จำต้องมีการหาหลักฐานพิสูจน์เพิ่มเติมให้ปราศจากข้อสงสัยใดๆ
ทั้งสิ้น
การจะเหมาเอาว่าผู้ต้องหาย่อม
“จะอาศัยโอกาสกระทำเพื่อไม่ให้ผู้ใดรู้เห็น” เป็นเครื่องชี้เจตนาแต่อย่างเดียว แล้วอ้างต่อไปว่า “จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากพยานพฤติเหตุแวดล้อม
กรณีที่โจทก์นำสืบเป็นเครื่องชี้วัด” ย่อมไม่ได้เช่นกัน
ทำอย่างนั้นจะเข้าลักษณะศาลเพียงตาในตำนานยอยศมากกว่าศาลสถิตย์ยุติธรรมอันเป็นสากล
แถมยังมีกรณีหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่จากซิมการ์ดที่ใช้กระทำผิด
ซึ่งคำพิพากษาระบุว่าคือ ๐๘๑๓๔๙๓๖๑๕ ปรากฏตามหลักฐานที่ได้จากบริษัท ทรู มูฟ
ว่าเป็นชนิดเติมเงินที่ส่งข้อความออกโดยเครื่องหมายเลขอีมี่ ๑๔ หลักตรงกับของอากง แต่ข้อเท็จจริงก็ปรากฏด้วยว่าโทรศัพท์มือถือของอากงใช้ซิมการ์ดแบบเติมเงินในหมายเลข
๐๘๕๘๓๔๔๖๒๗ อย่างสม่ำเสมอมาก่อนเกิดเหตุ
หากศาลมีความรอบคอบกว่านี้
และพิจารณาโดยคำนึงถึงสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดตามหลักสากล คือถือว่าบริสุทธิจนกว่าจะพิสูจน์โดยไร้ข้อสงสัยอย่างสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น
ย่อมต้องคำนึงว่าเป็นไปได้เช่นกันที่จะมีการปรับแก้สอดแทรกเอาเครื่องโทรศัพท์มือถือของอากงไปใช้ส่งข้อความอันเป็นความผิดทั้งสี่โดยบุคคลอื่น
แม้น
“บุคคลอื่น”
เช่นว่านั้นได้มีการปรักปรำโดยผู้เล่นอินเตอร์เน็ตสมาชิกสังคมสื่อสารบางคนว่า “อาจเป็นลูกหลาน” ของอากงเองก็ได้
แต่จากรายละเอียดกระบวนการพิจารณาคดีในคำพิพากษาของศาลพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ญาติมิตรใกล้ชิดของอากง
แต่กลับวินิจฉัยว่าใช่โดยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอากงเป็นผู้ลงมือกระทำโดยศาลอ้างว่าเป็นภาระรับผิดชอบของฝ่ายจำเลยเอง
ข้อต่อสู้ของอากงว่าได้นำโทรศัพท์มือถือของตนไปให้ช่างซ่อม
(ในช่วงเวลาที่ตรงกับการเกิดเหตุ) แต่จำไม่ได้ว่าเป็นร้านไหน
ทราบแต่ว่าอยู่ในอิมพีเรียลสำโรง แม้ขณะนั้นศาลไม่อาจจะทราบดังเช่นหลังจากที่มีการชันสูตรศพแล้วว่าอากงมีโรคมะเร็งลามไปถึงสมอง
ซึ่งอาจทำให้ความจำฟั่นเฟือนไปบ้างก็ได้ แต่ในเมื่อจำเลยต่อสู้เช่นนั้น
น่าที่ศาลจะต้องลงลึกไปให้ถึงก้นบึ้งเลยทีเดียวว่า
มีใครลักลอบเอาโทรศัพท์ของอากงไปปรับใช้ส่งข้อความอันเป็นความผิดหรือเปล่า
มิใช่อ้างเอาอย่างสุกเอาเผากินง่ายๆ ว่า “เพราะเป็นการยาก”
สำหรับโจทก์
การด่วนพิพากษาว่าเป็นความผิดของอากงดังที่ทำไป
ย่อมเป็นการพิจารณาตัดสินโดยไม่รอบคอบ อันเกิดความเสียหายแก่ผู้บริสุทธิ
(ถึงชีวิต) หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นเจตนารวบรัดเพื่อลงโทษผู้ถูกกล่าวหาด้วยเหตุผลอื่น
ที่ไม่ใช่จำนนด้วยหลักฐานทั้งปวง
หลังการเสียชีวิตในระหว่างถูกคุมขังของอากง
ข้อสงสัยต่ออาการผิดผีผิดไข้ของคำพิพากษากลับเพิ่มทวียิ่งขึ้น เมื่อศาลโดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
นายทวี ประจวบลาภ ได้แถลงข่าวต่อกรณีที่มีคนไปยกป้ายทวงถามใครฆ่าอากง
ว่าคดีอากงนี้ได้ถึงที่สุดไปแล้ว
ทนายจำเลยได้ถอนอุทธรณ์เพื่อที่จะถวายฎีกาขออภัยโทษ
จึงไม่สามารถยื่นประกันได้ “ถึงยื่นประกันก็คงไม่ได้ประกัน
เนื่องจากคดีไม่ได้ค้างพิจารณาอยู่ในศาลยุติธรรม”
ทว่าความเป็นจริงที่นายทวีละไว้ไม่เอ่ยถึงมีอีกว่า
ทนายได้ยื่นขอประกันตัวให้กับอากงถึง ๘ ครั้งก่อนถอนอุทธรณ์
ศาลอ้างว่าจำเลยกระทำความผิดในขั้นร้ายแรง เกรงหลบหนี และ “ส่วนที่จำเลยอ้างความป่วยเจ็บนั้นเห็นว่า จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์” *(3)
จนกระทั่งนักโทษคดี
ม.๑๑๒ หลายคนได้รับสัญญานว่าต้องรับสารภาพเสียก่อนจึงจะมีการพระราชทานอภัยโทษ
นั่นทำให้ทนายอากงยุติการอุทธรณ์ และอากงก็ตั้งความหวังอย่างยิ่งว่าจะได้อภัยโทษในไม่ช้า
ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ
อีกคนหนึ่งที่ยอมรับสารภาพเพื่อรอพระราชทานอภัยโทษ
หลังจากทนายพยายามขอยื่นประกันตัวเพื่อให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้งล้วนถูกปฏิเสธทุกครั้งด้วยเหตุผลเดียวกับอากงก็คือ
สุรชัย แซ่ด่าน (ด่านวัฒนานุสรณ์) ซึ่งถูกตัดสินจำคุกรวม ๑๐ ปี
(แม้จะมีการลดโทษไปบ้างแล้ว ๒ ปีครึ่ง) จากโทษในความผิดข้อหาเดียวกันหลายกระทง
เขามีโรคร้ายติดตัว ทั้งไขมันอุดเส้นเลือด และเตรียมเข้ารับการผ่าตัดต่อมลูกหมาก
แต่เป็นที่ห่วงใยกันว่าจะต้องตายในคุกเหมือนอากงเสียก่อนเพราะอายุถึง ๗๐ ปีแล้ว*(4)
ผลการชันสูตรพบว่าผู้ตายซึ่งเคยเป็นโรคมะเร็งที่ช่องปาก
และได้รับการผ่าตัดมาแล้วก่อนต้องคดีนั้น มะเร็งได้ลุกลามไปยังสมอง และส่วนสำคัญลงไปที่ตับร้ายแรงถึงขั้นสุดท้าย
อากงมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมาหลายวัน
ครั้นเมื่ออาการหนักมากในวันศุกรก็ยังไม่ได้รับการรักษาตลอดสุดสัปดาห์
จนเมื่อเสียชีวิตในวันจันทร์ปรากฏว่าท้องบวมป่องพองเต็มที่
ความเห็นของแพทย์ผู้ชันสูตรศพอากงเชื่อว่าก้อนเนื้อมะเร็งได้ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อหกเดือนที่แล้ว
อันเป็นช่วงเวลาที่อากงควรจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
และรับการรักษาอย่างเหมาะสมในโรงพยาบาลภายนอกคุกที่มีประสิทธิภาพ
โทษสำหรับการใช้ข้อความหยาบคายผรุสวาทต่อประมุขแห่งรัฐดังที่อากงถูกกล่าวหาเช่นนี้
แม้เป็นความผิดที่สามารถพิสูจน์ได้ชัดแจ้ง
ในต่างประเทศนอกจากจะมีระวางโทษกระทงละไม่เกินหนึ่งปี
แล้วยังต้องได้รับการประกันให้ออกไปรับการรักษาขณะถูกดำเนินคดี
การบิดพริ้วของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
รวมทั้งการใช้โวหารกระหวัดลิ้นประดุจทีมประชาสัมพันธ์พรรคการเมืองฝ่ายค้านของนายสิทธิศักดิ์
วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เมื่อปลายปปีที่แล้วว่า “อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก
อย่าแยกแผ่นดิน” แสดงถึงความพยายามนำเอาความจงรักภักดีมาแก้ต่างความผิดพลาด
และไม่เที่ยงตรงของศาล แม้กระทั่งทนายจำเลย น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ถึงกับประชดว่า
“หรือเราเรียนกฏหมายมาคนละตำรากับศาล”
ความพยายามกลบเกลื่อนด้วยการแสดงว่าศาลรู้จักหลักการ
Presumption of
Innocence และสิทธิในการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวตราบเท่าที่คดียังไม่สิ้นสุด
ดังปรากฏในบทความ “อากงปลงไม่ตก (๒)” *(5)
ของนายสิทธิศักดิ์ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มิได้ทำให้ศาลไทยยกระดับศักดิ์ศรีแห่งความน่ายกย่องในมาตรฐานสากลดีขึ้น
เว้นแต่กลับแสดงถึงความเจ้าเล่ห์อย่างนักการเมือง
เวลานี้ทั่วโลกล้วนมองเห็นแล้วว่าระบบยุติธรรมในประเทศไทยไม่เป็นอะไรที่ดีไปกว่าการบังคับใช้กฏหมายเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มชนชั้นนำ
ซึ่งวิธีการบังคับอาจหนักหน่วงถึงขนาดมีประชาชนเป็นร้อยที่เห็นต่างต้องสังเวยชีวิตต่อกระสุนของทหารเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม
ปี ๒๕๕๓
ความตายของอากง
การตัดสินใจสู้คดีต่อไปไม่รอรับการอภัยโทษของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข และการเลื่อนกำหนดวันตัดสินคดีของจีรนุช
เปรมชัยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ประชาไทออนไลน์ ไปปลายเดือนนี้ ล้วนได้รับการจับตา
และติดตามความคืบหน้าของสื่อ และองค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติอยู่อย่างจรดจ่อ
การที่สื่อต่างประเทศจำนวนมากเสนอข่าวการตายของอากง*(6) อย่างครึกโครม
เป็นเครื่องยืนยันว่ากระบวนการตุลาการไทยมิได้ผ่องใสอย่างที่คนไทยเคยคิด
หรือถูกทำให้คิดกันอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อองค์การสิทธิมนุษยชนสากล เช่น แอมเนสตี้
อินเตอร์แนทชั่นแนล และฮิวแมนไร้ท์ ว้อทช์
ต่างได้แสดงความเห็นให้ปรากฏแล้วว่ากฏหมายหมิ่นกษัตริย์ หรือ Lese Majeste
Law ของไทย ไม่ต้องด้วยครรลองคุณธรรมแห่งสิทธิมนุษยชนนานาชาติ
เห็นได้ชัดจากคำพูดของนายแบรด
อาดัมส์ ประธานภาคพื้นแปซิฟิคของฮิวแมนไร้ท์ ว้อทช์ หลังจากเข้าพบนายสุนัย
จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่ว่า “สถานะของไทยขณะนี้เสื่อมถอยไปมากในสายตานานาชาติ...ซึ่งส่วนมากมาจากคดีหมิ่นสถาบัน
เป็นเรื่องที่ชาวโลกไม่สามารถเข้าใจได้....เมื่อเทียบกับคดีอาชญากรรม คดียาเสพติด เมื่อเทียบกันแล้วไม่สมเหตุสมผล”*(7)
จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไมนานาชาติจึงเห็นกฏหมายอาญา
ม. ๑๑๒ ของไทยว่าร้ายแรง ขณะที่ผู้พิพากษา นักกฏหมาย
และคนชั้นนำในสังคมไทยบางคนกลับบอกว่า “กฏหมายจะแรงอย่างไร
ถ้าไม่ไปละเมิดก็จะไม่เดือดร้อน” ทั้งๆ
ที่ผู้ต้องหามากมายมิได้มุ่งหมายจะละเมิด
หากแต่ถูกยัดเยียดจากผลของการล่าแม่มดทางการเมือง
ความแตกต่างน่าจะอยู่ที่
จากภายนอกประเทศเขามองเห็นกันชัดเจนว่าการบังคับใช้ไม่ถูกทำนองคลองธรรม
แต่ภายในประเทศความไม่ชอบมาพากลเหล่านั้นถูกปิดบังไว้ด้วยทัศนะวิสัยที่บอดไปแล้วด้านหนึ่ง
*(1) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ อีกคนหนึ่ง ซึ่งเขียนจดหมายรำลึกถึงอากงเอาไว้
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไทนำไปตีพิมพ์เปิดเผย ที่ http://www.prachatai3.info/journal/2012/05/40485
*(2) ภาพถ่ายคำพิพากษาปรากฏในลิ้งค์บนเว็บ
Zenjournalist.com ของนาย Andrew MacGregor Marshall
*(3)
"ศาลฏีกาไม่ให้ประกันอากง
ย้ำเหตุเดิม โทษร้ายแรงเกรงหลบหนี ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องก่อนหน้านี้ก็ชอบแล้ว" http://www.prachatai3.info/journal/2012/03/39683 ดูคำวิจารณ์เพิ่มเติมต่อถ้อยแถลงของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
และบทความของนายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เรื่อง “อากงปลงไม่ตก” เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔
โดยขวัญระวี วังอุดม ได้ที่ http://prachatai.com/journal/2012/05/40445
*(4)
นายสุรชัยเขียนพินัยกรรมว่าถ้าตายขออย่าให้เผาศพตนจนกว่าจะมีการแก้ไข
หรือยกเลิกก.ม. อาญา ม. ๑๑๒ http://www.prachatai.com/journal/2012/05/40497
No comments:
Post a Comment