“คิดใหม่ ทำใหม่” เป็นคำคมที่ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้ง
และต่อมาเป็นนโยบายที่จับใจคนรากหญ้า สร้างศักดาให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
มากเสียจนต้องถูกรัฐประหารจากการประสานหลายส่วนของฝ่ายทหาร นายทุนสื่อ
องคมนตรีบางคน และผู้นำศาล ในรายการ “ชิมปลาดิบ จิบไวน์”*(1)
แถมด้วยการตามล้างจากองค์กรอิสระ
และตุลาการภิวัฒน์ ยุบพรรค ทรท. ไปแล้วไม่พอ เด็ดพรรคพลังประชาชนอีกหน พร้อมทั้งเช็ดรัฐบาลนายสมัคร
สุนทรเวชด้วยหน้ากระดาษพจนานุกรม เลยทำให้วรรคหลังของนโยบายนั้นทำไม่เสร็จ
มาถึงคราวพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
จึงยังไม่มีการทำใหม่ หากแต่จะทำในสิ่งที่เคยคิดใหม่เอาไว้แล้วให้เสร็จ ด้วยสโลแกน
“ทักษิณคิด
เพื่อไทยทำ”
การทำโดยเพื่อไทยอาจไปได้สวยกว่าที่เป็นในขณะนี้ถ้าไม่เกิดอุทกภัยร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ
กระทบพื้นที่ของประเทศไม่น้อยกว่า ๔๖ จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ-ธนบุรี และปริมณฑล
เมื่อเริ่มต้นรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยไม่เพียงลื่นถลำเพราะน้ำหลาก หากแต่ซวนเซเกือบจะตั้งตัวไม่ติดเพราะน้ำลายของฝ่ายค้าน
และบริวารจัดตั้งที่สวมเสื้อหลากสี
อาการซวนเซอาจทำให้รู้สึกว่าอยากสลับสับขาเปลี่ยนที่ยืนไปสู่พื้นฐานอื่นให้หลากหลายบ้าง
ดังที่มีการนำกรณียึดสนามบินกับระเบิดปิงปองหน้าทำเนียบมายำรวมเป็นหลักการเยียวยาเดียวกัน
และยังจะมีการบีบมะนาวนำเอาผู้เสียหายจากสถานการณ์ภาคใต้ใส่อีกด้วย ซึ่งไม่วายฝ่ายเสียหน้าก็ยังทำตัวหัวหมอฟาดหางให้เป็นเรื่องใหญ่*(2)
อ้างว่าผิดหลักความเสมอภาคตามกฏหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
แท้ที่จริงคงไม่เพียงเรื่องซวนเซ
แต่เป็นส่วนหนึ่งของท่าทีที่รับปากกันไว้ในข้อตกลงสามเส้า
(ซึ่งน.ส.พ.ไทยโพสต์เคยเอามาปูดว่ามีการเจรจาระหว่างนายวัฒนา เมืองสุข
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ) อันเป็นผลให้นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะยอมประกาศยุบสภา และเลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔
โดยมีข้อแม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่เข้าไปแตะต้องการโยกย้ายทหาร
และดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ว่ามีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์เป็นล้นพ้นไม่ยิ่งหย่อน
หรือยิ่งกว่ารัฐบาลที่แล้วๆ มา
ข้อเท็จจริงในการเจรจาสามเส้าจะเป็นเช่นไร
หรือแม้แต่ว่ามีการเจรจาเช่นนั้นจริงหรือไม่ ผู้เขียนขอยกประโยชน์ หรือโทษให้แก่น.ส.พ.ไทยโพสต์
เนื่องจากเนื้อหาเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดความสำคัญแก่บทความนี้
เพียงแต่การเอออวยกับฝ่ายทหาร พร้อมด้วยการโหมกำหราบ
และกำจัดเว็บไซ้ท์ที่ล่อแหลมต่อการดูหมิ่นสถาบันฯ
รวมถึงการประกาศมติคณะรัฐมนตรีไม่รับพิจารณาข้อเสนอแก้ไขกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
บังเอิญไปเข้าทางข่าวปูดของไทยโพสต์อย่างช่วยไม่ได้
ทั้งสองกรณีที่กล่าวถึง
เป็นท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถอยห่างจากการ “ทำใหม่” อย่างน้อยชั่วคราว
แต่จะเป็นการทำไปตามข้อตกลง หรือทำให้นุ่มนวลเพื่อการไหลลื่นทางการเมือง อันรวมไปถึงข้อเสนอแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกลาโหมเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายทหารที่ถูกชลอเอาไว้
เพราะสายการบังคับบัญชาของกองทัพเวลานี้ยังเห็นว่าไม่เหมาะที่จะให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีเอี่ยว
ย่อมเกี่ยวข้องแต่กับสวัสดิภาพของรัฐบาลเพียงลำพัง
ผู้เขียนนำเอาประเด็นการทำใหม่มาเป็นข้อสังเกตุในครั้งนี้เพราะอยากเห็นรัฐบาล
และพรรคการเมืองที่ทำตามความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง
แม้นว่าในความเป็นจริงทางการเมืองการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
และกลุ่มการเมืองที่ยังเหนียวแน่นกับอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้สามารถกลับมา “ทำอีก” ได้ก็นับว่าเป็นผลงานที่ชื่นชมได้เหลือหลายแล้ว
มิพักจักต้องเอ่ยถึงพลังมวลชนที่เป็นหินผาศิลาอาสน์ให้เกิดเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยขึ้นได้
การทำใหม่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
และพรรคเพื่อไทยที่ผู้เขียนอยากเห็น
นั้นอยู่ในกรอบความหมายของคำที่ฝรั่งมังค่ามักใช้กันว่า Reinvent เป็นการทำใหม่ในลักษณะที่ประนาธิบดีบารัค
โอบาม่าของสหรัฐพยายามจะทำเมื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในการรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีไว้อีกสมัย
ในปลายปีนี้
ผู้ติดตามการเมืองอเมริกันอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในทำเนียบขาวตั้งแต่กลางปีถึงปลายปีที่ผ่านมา
เรื่อยมาถึงต้นปีนี้ การจากไปของหัวหน้าคณะที่ปรึกษาประธานาธิบดี ราห์ม
เอ็มมานูเอล ไปรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครชิคาโก
และการเปลี่ยนตัวโฆษกทำเนียบขาว รอเบิร์ต กิ๊บบ์ เป็น เจย์ คาร์นี่ย์
ล้วนเป็นผลของความพยายาม “ทำใหม่” ตีตัวจากการเมืองอย่างเดิมๆ
ของวงในกรุงวอชิงตัน
ดังเป็นที่เปิดเผยในหนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับครอบครัวโอบาม่า*(3) ที่ชี้ให้เห็นบทบาทของภริยาประธานาธิบดี
นางมิเชล เมื่อเห็นว่าทีมงานทำเนียบขาวจมปลักกับการเมืองรายวันของการต่อรอง
และรอมชอมจนเป็นผลให้วิสัยทัศน์ของนายโอบาม่าเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งครั้งแรกเลือนหาย
และออกห่างจากการสัมผัส หรือแตะมือทางความคิดกับฐานเสียงของท่านไปไกลทีเดียว
ดังที่ปรากฏเมื่อกลางปีที่แล้วว่าคนหนุ่มสาวที่เคยเป็นแรงผลักดันอันสำคัญให้โอบาม่าชนะฮิลลารี่
คลินตันในการเลือกตั้งเบื้องต้น และเป็นฐานศิลาแลงกำแพงหินให้โอบาม่าชนะจอห์น
แม็คเคน ในการเลือกตั้งใหญ่ในที่สุดนั้นตีตนออกห่างจากโอบาม่ากว่าครึ่ง
เพราะโอบาม่าในตำแหน่งประธานาธิบดีอ่อนปวกเปียกกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จนทำให้รีพับลิกันสามารถช่วงชิงเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรไปได้ขาดลอยเมื่อปี
ค.ศ. ๒๐๑๐
การ
reinvent ความเป็นประธานาธิบดีในแนวที่เคยได้รับอาณัติมาจากคะแนนเสียงเลือกตั้งในปี
ค.ศ. ๒๐๐๘ ของบารัค โอบาม่า ไม่เพียงปรากฏในการปรับท่าทีต่อนโยบายในประเทศ
ดังที่เผชิญหน้ากับเสียงข้างมากรีพับลิกันในสภาผู้แทนฯ ภายใต้การนำของนายจอห์น
เบเนอร์ ที่ตั้งแง่ค้านไปเสียทุกอย่าง ในแผนงานแก้ปัญหางบประมาณขาดดุล
หลังจากที่คณะกรรมาธิการรัฐสภาชุดพิเศษจากสองพรรคที่ประธานาธิบดีตั้งขึ้นมาล้มเหลวไม่เป็นท่า
แสดงให้เห็นว่าที่พึ่งสุดท้ายทางการเมืองของประธานาธิบดีอยู่ที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฐานคะแนนเสียงของตนเอง
ไม่ใช่ไม่ทำเพราะกลัวว่าฝ่ายค้านจะก่อกวน และไม่ใช่ทำเพื่อเอาใจกลุ่มการเมืองภาคประชาชน
อย่างเช่นทีพาร์ตี้
อุปมาอุปมัยด้วยหลักคิดเดียวกัน
การทำใหม่ที่อยากเห็นในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย
มิใช่จะต้องคิดค้นโครงการใหญ่ขึ้นมาใหม่เสมอไป ทางรถไฟเชื่อมทุกภาค
กับการวางแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาวก็น่าจะเหลือบ่าแล้ว ยังมีการทำใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาลจนต้องหันไปทำเก่าเอาอย่างรัฐบาลที่แล้วด้วยการออกโรงถล่มธนาคารแห่งประเทศไทยในปัญหาดอกเบี้ยเงินกู้กองทุนฟื้นฟูฯ*(4)
ที่เป็นอุจจาระเปรอะเปื้อน และส่งกลิ่นก่อกวนมาตั้งแต่สมัยนายธารินทร์
นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีคลังของนายกฯ ชวน หลีกภัย แก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” แบบปัดสวะขอไปที
นั่นคือการ
reinvent ความเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั่วประเทศ
ด้วยการกลับไปหาอาณัติของประชาชนเช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีสหรัฐกำลังพยายามทำ และเดินหน้าปรับปรุง
เปลี่ยนแปลง และแก้ไขธรรมเนียมปฏิบัติแบบไทยๆ
ที่เป็นขวากหนามของความเจริญทัดเทียมนานาอารยะประเทศในเรื่องจิตสำนึกแห่งหลักการประชาธิปไตย
อย่างน้อยๆ
ต้องให้มีการยอมรับโดยถ้วนหน้าว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันหมดเสียที
ชนิดที่ไม่ควรเกิดกรณีอย่างที่เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ทำการบรรยายใส่หน้านายกฯ อย่างสาดเสียว่า “เป็นหน้าที่ของพวกคุณ ไม่ใช่หน้าที่ผม ไม่มีใครมาจ้างผมทำงาน แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็ไม่ได้จ้างผม เขาขอให้ผมมาทำช่วยชาติ เลยเสียตัว
ตอนนี้ท่านทำผมท้องแล้วต้องรับผิดชอบ
นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ
ทำผมท้องแล้วจะมาทำผมแท้งไม่ได้”*(5) ประดุจดังเจ้านายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชตรัสต่อข้าราชบริพารฉะนั้น
ข้อสำคัญในสิ่งที่เป็นการพัฒนาระบบกฏหมาย
และกระบวนการตุลาการให้ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับของอารยะสากลนั่นจำเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่มีการตัดสินคดีอากง หรือที่ต่างประเทศรู้กันถ้วนทั่วว่า “Uncle SMS” ให้จำคุก
๒๐ ปีด้วยข้อหาส่งข้อความอันเป็นการหมิ่นสมเด็จพระราชินี และพระมหากษัตริย์ ทั้งที่โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้แจ้งชัดว่าจำเลยกระทำผิดจริง
ศาลเลยใช้หลักฐานแวดล้อมของโจทก์มาตัดสินว่าผิดแทน
นานาชาติเขาเห็นว่าเป็นการใช้กฏหมายอาญา
มาตรา ๑๑๒ ตัดสินเกินกว่าเหตุกันทั้งนั้น แต่พวกผู้ลากมากดีบ้านเรานับตั้งแต่ดร.สุเมธ
ตันติเวชกุล เรื่อยไปถึงพล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ กลับพากันแถกแถไปข้างๆ
คูๆ ว่าเป็นกฏหมายไม่มีพิษมีภัยถ้าไม่มีใครฝ่าฝืน
แต่ประเด็นที่ทั่วโลกเห็นว่าถึงแม้จะไม่ตั้งใจฝ่าฝืนพวกผู้จงรักภักดีทั้งหลายก็สามารถเอามายัดเยียดให้จนได้
ท่านผู้ประเสริฐเหล่านั้นกลับมองไม่เห็น
ครั้นมีกลุ่มนักวิชาการกฏหมายอย่างคณะนิติราษฎร์สามารถคิดสูตรใหม่เพื่อถอดสลักวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหาร
และการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง รวมทั้งผู้คิดต่างด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์
ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยเสนอให้ลบล้างผลพวงแห่งรัฐประหาร
และแก้ไข ม. ๑๑๒ รัฐบาลซึ่งเคยถูกฝ่ายตรงข้ามใช่เล่ห์กลยัดเยียดข้อหามาแล้วไฉนรีบออกตัวไม่ขอแตะต้อง
นั่นเป็นเพราะรัฐบาล
(โดยพรรคเพื่อไทย) นี้วางกรอบนโยบายไว้แล้วว่าจะทำตามแต่เพียงที่ทักษิณคิดเท่านั้นหรือ
ข้อเสนอนิติราษฎร์เป็นความคิดใหม่ที่จะปฏิรูปการเมืองไทย
และปรับระเบียบสังคมให้พ้นจากมายาคติเรื่อง “คนดี”
ในทางการเมืองที่บอกว่า “โสเภณียังดีกว่าคนโกง” นั้นยังต้องมีการให้คำจำกัดความอีกมากทั้งในส่วนของ “โสเภณี” และ “คนโกง” ถ้าเป็น “โสเภณีการเมือง” และ
“คนดีขี้โกง” เล่าจะว่าอย่างไร “เขายายเที่ยง” กับ “ทีดินรัชดา” และ “ที่ดินหนองน้ำมักกะสัน” ต่างกันมากไหม
ถ้าหากทักษิณติดขัด
และขลุกขลักไม่อยากคิดใหม่ ในเมื่อบังเอิญนิติราษฎร์เขาคิดใหม่ได้แล้ว
รัฐบาลเพื่อไทยจะเอามาทำใหม่ไม่ได้หรือ
ไหนๆ
ก็คิดใหม่ให้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกได้แล้ว ทำใหม่ให้ใครก็ตามที่ก่อรัฐประหาร
หรือสั่งฆ่าประชาชนต้องได้รับโทษสาสมดูบ้างเป็นไร
*(1)
คำของคุณ “รักในหลวงห่วงลูกหลาน” แห่งเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน ยุคปี ๒๕๕๒
*(2)
ดังที่นายสาธิต ปิตุเตชะ
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้สั่งยกเลิกมติ ครม.
อนุมัติงบประมาณเยียวยา ดูข่าว น.ส.พ.โลกวันนี้ที่ http://www.dailyworldtoday.com/hotnews.php?hotnews_id=53603
*(4) ดูความเห็นต่างกับรัฐบาลในเรื่องนี้โดยอาจารย์กานดา
นาคน้อย นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเพอร์ดิว ได้ที่ http://www.konmuankan.com/~liberal/index.php?showtopic=52162
*(5) http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000006000
No comments:
Post a Comment