Monday, December 5, 2011

คดีอากงทำให้ออกอาการ


หากจะเล่นลิ้นสะบัดสำนวนถึงภาวะการเมืองอันลุ่มๆ ดอนๆ ของไทยเวลานี้คงต้องบอกว่าเข้าข่าย น้ำลด หัวนมโผล่ เนื่องเพราะการตัดสินจำคุก อากง เป็นเวลา ๒๐ ปีด้วยข้อหาส่งข้อความทางโทรศัพท์หมิ่นพระราชินี และสถาบันกษัตริย์

คดีอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล ชายไทยวัย ๖๑ ปี ซึ่งถูกผู้พิพากษาศาลอาญา นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ตัดสินเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่ามีความผิดในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันกษัตริย์ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในแวดวงสื่ออินเตอร์เน็ตทั้งไทย และเทศ ว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินเกณฑ์มนุษยธรรม (Humane) ทั้งๆ ที่คำพิพากษาก็ยอมรับว่า แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำผิดตามคำฟ้อง”*(1)

ด้วยเหตุที่การลงโทษอย่างหนักในลักษณะไร้อารยะต่อจำเลยซึ่งต่อสู้คดีว่าตนไม่รู้จักวิธีส่งข้อความเอสเอ็มเอส และขณะเกิดเหตุก็นำโทรศัพท์มือถือเครื่องที่มีหมายเลขไอเอ็มอีไอ (ที่ศาลเรียกว่าอีมี) ตามคำฟ้องนั้นไปซ่อม หากแต่ไม่สามารถยืนยันแจ้งชัดได้ว่าเป็นร้านไหน

ชุมชนสัมมนาทางอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าคำพิพากษามีลักษณะทารุณกรรม และเรียกร้องให้มีการปลดปล่อยนายอำพล พร้อมด้วยนักโทษทางการเมืองทั้งหลาย รวมถึงในคดี ม. ๑๑๒ กับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องความยุติธรรม

การนี้ได้มีการเรียกร้องจากองค์กรสิทธิมนุษยชนที่สำคัญบางแห่ง อาทิ องค์การสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย องค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ และแม้กระทั่งองค์การนิรโทษกรรมสากลที่เคยแสดงท่าทีอ่อนน้อมต่อกฏหมายหมิ่นฯ (Lese Majeste) ของไทย และไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ อย่างเป็นทางการต่อคดีอากง

ทว่านายเบ็นจามิน ซาแว็คกิ นักวิจัยของแอมเนสตี้ประเทศไทย ได้เขียนความเห็นของตนประณามคำตัดสินว่าเป็นการกดขี่เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

เขาให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวเอพีว่า ประเทศไทยมีสิทธิเต็มเปี่ยมในการมีกฏหมายห้ามหมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ว่ากฏหมายนี้ในรูปแบบที่เป็นอยู่ และในการบังคับใช้ ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพขัดแย้งต่อพันธกรณีแห่งกฏหมายกับนานาชาติ เขายังกล่าวด้วยว่าท้ายที่สุดแล้วในทุกวันนี้ประเทศไทยก็ยังมีการกดขี่ในเรื่องเสรีภาพของการแสดงออก และ นายอำพลก็คือนักโทษการเมือง ดีดีนี่เอง*(2)

นี่แหละคือประเด็นที่ทำให้ระบบตุลาการของไทยถูกเพ่งเล็งในชุมชนโลกว่ายังล้าหลังในคุณค่าแห่งการมีมนุษยธรรม การตัดสินจำคุกบุคคลถึง ๒๐ ปีด้วยข้อหาอันเป็นการเมือง ซ้ำร้ายทั้งที่ศาลไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ด้วยหลักฐานโดยตรงว่าเขากระทำผิด ผู้พิพากษากลับหันไปใช้ข้อวินิจฉัยอย่างขาดสามัญสำนึกแห่งปุถุชน (เอาใจเขามาใส่ใจเรา) และไม่พะวงถึงหลักการรับผิดเมื่อทำพลาด (Accountability) โดยอ้างว่า ผู้กระทำความผิดดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ แล้วใช้ ประจักษ์พยานแวดล้อมที่โจทก์นำสืบเพื่อชี้วัดให้เห็นเจตนาที่อยู่ภายใน ของจำเลยว่ามีความผิดจริงจนได้

ด้วยเหตุที่ตัวบทกฏหมายของไทยเชิดชูตุลาการไว้อย่างสูงส่งจนไม่สามารถตั้งข้อสงสัยใดๆ ต่อการตัดสินของผู้พิพากษา ความรู้สึก (ตามที่ปรากฏในสื่อไซเบอร์) ที่ว่าระบบตุลาการไทย ในคดีอากง และคดี ม. ๑๑๒ กับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์อื่นๆ มักขาดมนุษยธรรม จึงไปออกในทางวิพากษ์ถึงการง่อยเปลี้ยเสียขาของกฏหมาย มากกว่าที่จะลงลึกถึงคุณภาพของผู้ตีความ หรือผู้บังคับใช้ มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปกฏหมาย แม้แต่ผู้ได้ชื่อว่าเชิดชูสถาบัน (Royalist) ตัวเอ้ (ยกเว้นกรณีที่วิกิลี้คส์เอามาเผย) อย่างนายอานันท์ ปันยารชุน ก็ยังเห็นพ้องด้วยนั้น

ทำให้มองข้ามตัวการ (Culprit) สำคัญในเรื่องนี้ไป ว่าผู้ซึ่งตีความ และบังคับใช้กฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ กับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ๒๕๕๐ อย่างไม่สมแก่หลักเหตุ และผลตามครรลองสิทธิมนุษยชนสากลที่ให้ความสำคัญแก่สวัสดิภาพส่วนบุคคลเป็นเบื้องต้นแล้ว การวิพากษ์ แม้กระทั่งหยามเหยียดสติปัญญาย่อมแพร่หลายออกไปในวงนอก โดยที่ผู้กระทำผิดพลาด และสังคมไทยภายในประเทศไม่รู้ตัว เพราะต่างก็ปิดหู ปิดตา และปิดปากกันเสียหมด ความเสื่อมย่อมจะเกิดแก่ระบบตุลาการโดยรวมต่อไป

ใครที่ได้ชมรายการเดอะเดลี่โด๊สของคุณปลื้ม หรือ มล. ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ทางว้อยซ์ทีวี เกี่ยวกับคดีอากงที่ผู้จัดบอกว่าอ่านดูคำพิพากษาแล้วเห็นว่ามันไม่มีเหตุมีผลอยากจะวิพากษ์วิจารณ์แต่ว่าพูดไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยอ่อนแอ จึงไม่ขอวิจารณ์เกี่ยวกับคำพิพากษา แต่บอกว่าประชาคมโลกเขาประณาม และประจานเพราะเขาทนไม่ได้กับกระบวนการพิจารณาคดีของไทย คุณปลื้มบอกว่าจะไม่โทษผู้พิพากษา แต่จะโทษที่ตัวกฏหมาย และโทษรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ไม่ทำการแก้ไข ถ้ารัฐบาลนี้ไม่ทำก็ไม่ใครอีกแล้วที่จะทำ*(3)

นั่นเป็นปฏิกิริยาที่แสดงออกมาด้วยความอัดอั้นผ่านสื่อ และดูเหมือนจะเป็นแห่งเดียวภายในประเทศนอกเหนือจากการประท้วงในภาคประชาชนที่ออกอาการกันอย่างแปลกพิศดาร

ดังเช่นการเปลื้องอก และเปลือยก้นเขียนข้อความรณรงค์ให้ปล่อยตัวอากง ถ่ายภาพไปลงตามเว็บไซ้ท์ ที่กำลังแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วบนอินเตอร์เน็ตขณะนี้ โดยมีที่มาจากการริเริ่มของ ดร. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการสถาบันศึกษาเอเซียอาคเนย์ในสิงคโปร์ ที่เขียนชื่ออากงบนฝ่ามือแล้วนำภาพไปลงไว้ในหน้าเฟชบุ๊ค

จากนั้น คำ ผกา นักเขียนสตรีชื่อดังได้เขียนข้อความ “No Hatred for Naked Heart” บนร่างเปลือยส่วนบนของเธอบ้าง*(4) ตามด้วยข้อเสนอของ ดร. สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์การเมืองไทยเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองระดับรากหญ้าทั้งหมด แต่ให้ละเว้นระดับแกนนำ*(5)

เหล่านี้จัดว่าเป็นปฏิกิริยาต่อการตัดสินจำคุกอากงที่เกิดจากความรู้สึกว่าระบบตุลาการของประเทศไทยนั้นออกอาการผิดผีผิดไข้อย่างไร้มนุษยธรรมแล้วจริงๆ มิใช่เพียงแค่คดีอากงซึ่งอยู่ในวัยชราผู้ป่วยเป็นมะเร็งในช่องปาก ที่นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ให้รายละเอียดกล่าวหาว่าส่งข้อความสั้นผ่านระบบสื่อสารเอสเอ็มเอสทางโทรศัพท์เข้าสู่หมายเลขของตน เป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย และใส่ความทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชินีนาถทรงเสื่อมเสียพระเกียรติ

นายสมเกียรติเขียนในเฟชบุ๊คว่าข้อกล่าวหาของเขามีหลักฐานเป็นจริง (ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ตามกระบวนการพิจารณาคดีแบบไทยๆ) แต่อัยการซึ่งเป็นโจทก์ก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันแน่ชัดว่าอากงเป็นผู้ส่งข้อความนั้นจริงๆ ด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าศาลไหนๆ ในโลกที่พบแสงสว่างแห่งอารยธรรมแล้วย่อมยกผลประโยชน์ให้แก่จำเลย และยกฟ้องคดีไป ไม่เที่ยวเสาะหาหลักฐานแวดล้อมเพื่อเอาผิดให้จงได้อีก ดังเช่นที่ผู้เข้าไปสนทนากระทู้ Thailand’s fearlessness : Free Akong” ของเว็บ นิวแมนเดล่า ผู้หนึ่งชี้ว่า เป็นกระบวนการที่ ลงทัณฑ์เสียก่อน แล้วตัดสินให้ผิดทีหลัง (Sentence first – Verdict Afterward)*(6)

จริงอยู่ว่าวลีดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงคำบริภาษณ์ ทว่าการตัดสินคดีที่เกี่ยวกับการเมือง หรืออยู่บนพื้นฐานของกฏหมายอาญา ม. ๑๑๒ กับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์หลายๆคดี พบว่าเหมือนดั่งเป็นการตัดสินตามธง เช่นตั้งธงว่าอากงผิดไว้ก่อนแล้วหาหลักฐานแวดล้อมมาหนุน หรือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์รับเงินหาเสียงผิดระเบียบเลือกตั้ง ก็ตั้งธงไม่ผิดไว้ก่อนแล้วเอาเงื่อนเวลามาใช้พิพากษาให้หลุด เป็นต้น

เห็นได้ว่าอาการผิดผีผิดไข้อยู่ที่ผู้ตัดสินพอๆ กับตัวกฏหมาย การปฏิรูป หรือเพียงแก้ไขกฏหมายทั้งสองฉบับไม่เพียงพอทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยฟื้นจากอาการเน่าเฟะทางการเมืองได้ ตราบเท่าที่ผู้ใช้ยังคร่ำครึอยู่กับโลกทัศน์ที่ว่าตัวบทกฏหมายสำคัญกว่าสิทธิมนุษยชน

เช่นเดียวกันกับที่การยกเลิกกฏหมายทั้งสอง หรือแม้แต่ ม. ๑๑๒ อย่างเดียวก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันในสภาพการเมืองที่รัฐบาลเงาถูกทำให้เฉิดฉาย และผู้ปกครองที่มองไม่เห็นทรงพลานุภาพยิ่งกว่ารัฐบาลในที่แจ้ง

สภาพกลืนไม่เข้า คายไม่ออกเช่นนี้แหละที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกอาการพิสดารขึ้นมา และจะพิสดารยิ่งขึ้นมากกว่านี้ถ้าการบังคับใช้ ม. ๑๑๒ ยังเป็นแขนรัดคอ (Chokehold) ต่อเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนต่อไปอย่างมองไม่เห็นแสงไฟที่ปลายอุโมงก์ ดังที่มีการวิจารณ์กันบนเว็บบอร์ดรอบๆ บ้านเรา

ทางออกเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย และอาการอึดอัดขัดข้องของประชาชนหมดไป จึงอยู่ที่รัฐบาลซึ่งฐานเสียงรากหญ้าของตนเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่าใครๆ จากกฏหมายทั้งสองฉบับ แม้ว่าภาวะการเมืองจะทำให้ไม่สามารถยกเลิก ม. ๑๑๒ ได้ทั้งหมด การแก้ไขก็จำเป็นต้องครอบคลุมให้ถูกจุด อย่างน้อยๆ ในประเด็นผู้ฟ้องร้องกล่าวโทษต้องยึดหลักผู้เสียหายโดยตรงเท่านั้น ไม่ใช่ใครเกิดอาการตกมันด้วยความจงรักภักดีอยากจะยื่นฟ้องใครก็ได้

รวมทั้งประเด็นโทษจำคุกขั้นต่ำ ๓ ปี ขั้นสูง ๑๕ ปี ซึ่งรุนแรงเกินไปสำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุข เก็บเอาไว้ใช้ผ่อนโทษให้แก่ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะกระทำฆาตกรรมด้วยความคะนองจะดูมีมนุษยธรรมเสียมากกว่า ส่วนโทษฐานหมิ่นฯ อย่างเดียวจำคุกสูงสุด ๓ปี นับว่าหนักหนาเหลือหลายแล้ว

พร้อมกันนั้นรัฐบาลต้องทำหน้าที่ปกป้องสวัสดิภาพของประชาชน ตราบใดที่มีคนถูกพิพากษาให้ต้องรับโทษหนักจากการตัดสินคดีด้วยเหตุผล และหลักฐานอ่อน หรือเป็นไปในลักษณะตัดสินตามธง รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารควรจะฟ้องร้องผู้พิพากษาที่ใช้อำนาจตุลาการอย่าง บาทใหญ่ ได้

การยอมสยบศิโรราบไปเสียทั้งสิ้นกับความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้กฏหมาย นอกจากจะทำให้สถาบันตุลาการเสื่อมลงมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังจะทำให้รัฐบาลถูกปรามาสว่าไร้น้ำยาเสียยิ่งกว่าชุดที่ถูกชักใยด้วยมือที่มองไม่เห็น

*(2) http://www.thestate.com/2011/11/23/2056632/man-sentenced-to-20-years-for.html สำหรับองค์การสิทธิมนุษยชนเอเซียโปรดดูคำแถลงที่ http://www.humanrights.asia/news/ahrc-news/AHRC-STM-180-2011 ส่วนคำประกาศของฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ดูที่ http://www.hrw.org/news/2011/12/02/thailand-end-harsh-punishments-lese-majeste-offenses
*(3) http://www.internetfreedom.us/forum/viewtopic.php?f=2&t=17076
*(4) http://www.prachatai.com/journal/2011/12/38141
*(5) http://thaienews.blogspot.com/2011/12/blog-post_03.html

No comments:

Post a Comment