นับแต่ปัญหาน้ำหลากประจำปีเริ่มจะกลายเป็นวิกฤติในตอนปลายเดือนกรกฎาคมเข้าสู่สิงหาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลใหม่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจไม่ได้แคลงใจว่าอุทกภัยปีนี้จะกลายเป็นประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่พ่ายแพ้เลือกตั้งไปแล้วใช้โหมกระหน่ำโจมตีทุกเช้าค่ำว่าอ่อนหัดไร้สมรรถภาพ
แม้นว่าจะมีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) ที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยบางคน
ตอกย้ำซ้ำหลายหนว่ายังมีกระบวนการคว่ำรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่อย่างแข็งขัน
เช่นเดียวกับที่เคยโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน มาแล้วสามชุด
กระแสซุบซิบถึงกับบอกด้วยว่าผู้มีอำนาจวิเศษเหนืออื่นใดในแผ่นดิน
ต้องการให้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแก่นแข็งชุดนี้จบไปภายใน ๖ เดือน
กระบวนการต่อต้าน
และหยามเหยียดรัฐบาลยิ่งลักษณที่เริ่มต้นด้วยนายแก้วสรรค์ อติโพธิ์
ซึ่งเคยได้ดิบได้ดีจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ๒๕๔๙ ให้เป็นกรรมการ คตส.
(คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ) พยายามฟ้องต่อ ปปช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ขาดคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งนายกฯ แล้วไม่ได้ผล
ก็มีไม้สองจากหมอตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
และได้รับการเกื้อกูลให้ใช้รถหาเสียงของพรรคในการออกมารณรงค์โจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่หยุดหย่อน
บัดนี้เข้าสู่มิติของการตำหนิ ใส่ร้าย และยำใหญ่ไปทุกเรื่อง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และคณะรัฐมนตรีเงาพยายามทำงานแข่งกับรัฐบาล
จนเป็นที่น่าสังเกตุว่างานอย่างเดียวกันที่ฝ่ายค้านพยายามแย่งซีนรัฐบาลในเวลานี้
ตลอดเวลากว่าสองปีที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีไฉนไม่ทำ
รวมทั้งในเรื่องป้องกันน้ำท่วมไม่ให้มากกว่าปกติด้วย
จนบัดนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาน้ำมากจนเกิดอุทกภัยทั่วประเทศไทยแล้วยังกำลังจะท่วมกล่องดวงใจของชาติ
คือกรุงเทพมหานครด้วยชนิดไม่เคยเป็นมาในรอบ ๕๐ ปี เกิดจากความเขลา
หรือเดาผิดของบรรดาผู้รอบรู้ และบริหารจัดการเรื่องน้ำโดยตรงทั้งหลาย
ผู้ชำนาญการไม่ว่าไทย-เทศยืนยันว่าลำพังภัยธรรมชาติไม่กระไรนัก
หากแต่ปัญหาที่เกิดจากมนุษย์กระทำซ้ำเติมเนื่องจากด้อยสมรรถภาพในการบริหารจัดการน้ำนั่นต่างหากที่ทำให้ย่ำแย่
ดังที่นายสมิทธ ธรรมสโรช
อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่าเป็นความผิดพลาดของกรมชลประทาน
และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ที่ไม่สามารถคำนวณปริมาณฝนให้ใกล้เคียงสำหรับการปล่อยระบายน้ำออกจากเขื่อนภูมิพล
และสิริกิตติ์ อย่างถูกต้อง*(1) มาตั้งแต่ต้นฤดูกาล
ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๔
นายอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ขณะนั้นยังบอกว่าประเทศไทยจะเกิดภัยแล้ง
ทำให้มีการเก็บกักน้ำไว้ในเขื่อนใหญ่ๆ
ซึ่งเรียกกันตามประสาชาวบ้านว่าเขื่อนพ่อ-เขื่อนแม่ เสียจนปริ่ม
รัฐบาลสั่งให้งดการทำนาปรังเพราะเขื่อนใหญ่งดปล่อยน้ำออก
แถมมีการทำฝนเทียมวันละสามเวลาบริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ๘
จังหวัดระหว่างเดือนเมษายน ถึง ตุลาคม ๒๕๕๔*(2)
ครั้นเมื่อฝนที่ตกลงมาก่อนฤดูการหนึ่งเดือนแถมมีปริมาณมากมายชนิดไม่ธรรมดา
แล้วน้ำเริ่มท่วมภาคอีสานตั้งแต่ก่อนรัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา
แต่เขื่อนใหญ่อย่างเช่นเขื่อนแม่ที่มีปริมาณน้ำเก็บกักไว้อย่างผิดปกติถึงกว่า ๕๐
เปอร์เซ็นต์ก็ยังปล่อยน้ำออกเอื่อยๆ เฉพาะที่ถึงจุดล้น แค่ ๗-๑๐
ล้านลูกบาศก์เมตรในระยะเมษายนถึงมิถุนายน ทั้งๆ ที่เมื่อปี ๒๕๕๓
น้ำในเขื่อนช่วงฤดูเดียวกันเพียง ๓๐ กว่าเปอร์เซ็นต์กลับปล่อยน้ำออกเดือนอละกว่า
๑๐ ล้าน ลบ. ม.
พอถึงเดือนสิงหาคมทำให้มีความจำเป็นต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนอย่างเร่งด่วน กลายเป็นอุทกภัยไล่ลงมาตั้งแต่นครสวรรค์ยันปทุมธานี
แล้วยังเจอกับคันกั้นน้ำปกป้องกรุงเทพฯ ผสมกับสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่
และถนนรายล้อมมหานคร
สกัดกั้นทางลงสู่ทะเลจนน้ำต้องหันไปท่วมทุ่งปริมาณนับล้านลูกบาศก์เมตรรอถล่มเมืองกรุงตลอดสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา
ปัญหาแท้จริงอาจเป็นอย่างที่นายสมิทธซึ่งปัจจุบันเป็นประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติพูดไว้เมื่อวันที่
๓๐ ตุลาคมว่า “การปล่อยน้ำแล้วน้ำท่วมแบบนี้ควรต้องมีคนรับผิดชอบ
ต้องมีการสอบสวน...ไม่มีเจตนาแอบแฝงได้ไง
ปล่อยไม่หยุด ปล่อยยาว ไปดูบันทึกของกรมชลประทาน หรือ กฟผ. ไม่เคยปล่อยน้อยลง
มาน้อยลงตอนหลัง ตอนฝนหยุดตกแล้ว อ้างฝนตกเข้าเขื่อนมากต้องปล่อยมาก
เขื่อนทำไว้ระบายน้ำโดยอัตโนมัติถ้าน้ำขึ้นมากๆ ไม่ให้ล้นสันเขื่อน
มีสปริลเวย์ให้น้ำระบายออกสันเขื่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวเขื่อนรับน้ำไม่ได้”
แถมด้วยการตอกย้ำของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์
ประธานคณะผู้บริหารบริษัท ทีพีไอ โพลีน
ซึ่งเป็นพยานในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการทุจริตเงินสนับสนุนพรรคการเมือง
๒๙ ล้านบาท ออกมาพูดในฐานะวิศวกรรุ่นพี่ของอธิบดีกรมชลประทาน
และผู้อำนวยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากบุคคลทั้งสอง
“ไม่ควรเอาเรื่องการเมืองมาทำลายกันโดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของประชาชน
ไม่ควรเล่นการเมืองกันโดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะฉิบหายอย่างไร…ขณะนี้ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ต้องมาปล่อยน้ำออกจากเขื่อนต่างๆ
ซึ่งอันที่จริงขณะนี้ฝนก็ลดน้อยลงมากแล้ว หลายจังหวัดไม่มีฝนตกแล้ว
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาปล่อยน้ำออกจากเขื่อน
ควรเก็บกักน้ำเอาไว้เพื่อรองรับฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึงจะดีกว่า”*(3)
เป็นอันว่าในส่วนรับผิดชอบของนายชลิต ดำรงศักดิ์ และนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ สองผู้มีความรับผิดชอบตรง และอำนาจเต็มในการบริหารจัดการน้ำไม่อาจปฏิเสธคำวิพากษ์วิจารณ์ไปได้ว่า
ไฉนเวลาฝนไม่มากกักน้ำไว้เต็มเขื่อน พอฝนหนักกลับปล่อยน้ำออกมามาก
(ที่เขื่อนภูมิพลราว ๑๗ ล้าน ลบ.ม.) แม้เมื่อฝนหยุดแล้วก็ยังปล่อยน้ำต่อไปอีก
นี่เป็นเหตุให้อุทกภัยปีนี้ทั้งเยอะ ยาว และเข้าถึงกล่องดวงใจเลยหรือเปล่า
ขณะเขียนบทความนี้มีรายงานข่าวว่าน้ำท่วมแบบเต็มร้อยในพื้นที่กทม.ไปแล้วอย่างน้อย
๑๗ เขตรอบนอก นายกฯ บอกให้ประชาชน กทม.
ชั้นในเตรียมรับน้ำในกรณีที่อาจเกิดได้ร้ายแรงสุดน้ำจะสูงถึง ๑.๕ เมตร ส่วนผู้ว่าฯ
ประกาศให้ ๑๓ เขตริมฝั่งเจ้าพระยาระวังตัว ล่าสุดให้เขตตลิ่งชัน และหลักสี่อพยพหนีกันได้
ก่อนหน้านี้กว่าหนึ่งอาทิตย์ปรากฏว่ามีการเล่นสงครามน้ำลายทางการเมืองระหว่างพรรคฝ่ายค้านที่คุมคะแนนเสียงชาวกรุง
และภาคใต้ตามตัวเลขจากการเลือกตั้งทั่วไปทั้งสิ้นราว ๑๑ ล้านคะแนน (Popular votes)
ซ้ำมีผู้ว่าการกทม. เป็นคนของพรรค ปชป. เมื่อรัฐบาลอันมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนใหญ่จากการเลือกตั้งด้วยคะแนนมากที่สุด
๑๕.๗ ล้านเสียง (ส่วนใหญ่ในภาคอีสาน และเหนือ)
ต้องการให้เปิดประตูน้ำด้านตะวันออกตามคลองต่างๆ ที่ผ่านใจกลาง กทม.
ช่วยระบายน้ำออกจากทุ่งเสริมเส้นทางหลักตามลำแม่น้ำสามสาย เจ้าพระยา ท่าจีน
และบางปะกง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร กลับยักท่าไม่อยากให้กรุงเทพฯ
เปียกน้ำแม้แต่น้อย แถมบอกว่าเรื่องน้ำท่วมไม่ท่วมให้ชาวกรุงฟังผู้ว่าฯ คนเดียว
ผู้ว่า กทม.
ฐานเสียงหลักของพรรคประชาธิปัตย์งัดข้อกับรัฐบาลท่ามกลางวิกฤติน้ำท่วมเท่านั้นไม่พอ
ปชป. อัดซ้ำด้วยการเรียกร้องให้มีการประกาศใช้พ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉิน
เพื่อยื่นอำนาจให้ฝ่ายทหารคู่ขาเก่าเข้าไปควบคุมปฏิบัติการต้านอุทกภัยทั้งหมด
ท้ายสุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลือกประกาศใช้ พ.ร.บ. ป้องกันสาธารณะภัยแทน ทำให้ผู้ว่าฯ
ต้องหันมาประสานกับศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสพภัย (ศปภ.) ของรัฐบาลในการปิด-เปิดประตูน้ำ
แต่ก็ไม่วายปฏิเสธแก้เกี้ยวว่าที่ผ่านมา กทม. ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมประตูน้ำ
หากแต่เจ้าหน้าที่ปิด-เปิดเหล่านั้นอยู่ในสังกัดการประปานครหลวง
“ซึ่งเป็นของรัฐบาล”
ถึงอย่างไรก็สายไปไม่นิดหน่อยเลย
เพราะกว่าที่รัฐบาลจะสามารถสั่งการให้เปิดเส้นทางระบายน้ำตามคลองชั้นในต่างๆ ได้
น้ำก็ท่วมเข้าไปถึงบางพลัด และรังสิตเสียแล้ว
แต่กระนั้นการแสดงบทบาทฝ่ายค้านทัดทานรัฐบาลทุกวิถีทางก็ยังไม่หมดลาย
นายกรณ์ จาติกวนิช รองนายกรัฐมนตรีเงาของพรรค ปชป.
เขียนในทวิตเตอร์ของตนโจมตีอีกว่าการระบายน้ำของรัฐบาลไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
ร้อนถึงนายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน*(4)
ผู้เคยถวายงานใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องออกมาชี้แจงว่า
ที่จริงแล้ว กทม. นั่นแหละที่ไม่เข้าใจเรื่องการเดินทางของน้ำ
ทำให้ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเกิดอาการสับสนวุ่นวาย
เหนือชั้นไปกว่านั้น ขณะที่ชาวกรุงเทพฯ
กำลังอกสั่นขวัญแขวนว่าจะเจอน้ำท่วมถึงอกในวันมะรืนวันพรุ่ง ตัวนายกฯ เงาเอง
นายอภิสิทธิ์แอบบินเงียบไปปรึกษาการแก้ปัญหาน้ำท่วมกับประธานาธิบดีหนุ่มของหมู่เกาะมัลดีพส์อยู่หลายวัน
เป็นที่ข้องใจของหลายคนรวมทั้งนักเขียนประจำสื่อเว็บไซ้ท์เอเชียนคอเรสปอนเด๊นท์
นายแอนดรูว์ สปูนเนอร์ ว่านายกฯ
เงาเจอน้ำมากแล้วผิวซีดต้องหลบไปอาบแดดให้ผิวแทนหรือไร
นายสปูนเนอร์ยังให้ข้อสังเกตุน่าคิดว่าภาพนายอภิสิทธิ์ถ่ายคู่กับประธานาธิบดีมัลดีพส์ที่นายศิริโชค
โสภา โฆษกรัฐบาลเงาเอาไปลงไว้บนเว็บนั้นไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นการเยือนอย่างทางการตอนช่วง
“เวลาไหนในประวัติศาสตร์”*(5) ซึ่งสื่ออินเตอร์เน็ต ไทยอีนิวส์
มีข้อวินิจฉัยเพิ่มเติมอีกว่าการแต่งกาย
และเน็คไทที่ประธานาธิบดีนาชีดของมัลดีพส์ผูกในภาพถ่ายคู่กับอภิสิทธิ์นั่น
ช่างเหมือนกับในภาพเมื่อสองปีที่แล้วของท่านตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชีวประวัติในปี
พ.ศ. ๒๕๕๒ ไม่มีผิด*(6)
ทางด้านสื่อทั้งสายหลัก และในกระแสสังคมออนไลน์
ที่เคยสนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
และมีความซื่อตรงประดุจข้าไม่หลายเจ้า บ่าวนายเดียว
ก็ยังคงเสนอความเห็นส่วนตนที่เป็นเรื่องร้ายต่อรัฐบาลใหม่อย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองผู้ประกาศรายการทีวีค่ายเนชั่น นายกนก รัตน์วงสกุล กับนายธีระ
ธัญญไพบูลย์ ซึ่งโจมตีนายกรัฐมนตรีหญิงยิ่งลักษณ์มาตลอด พอน้ำท่วมก็หันไปตี ศปภ.
ว่าบังคับให้อาสาสมัครใส่เสื้อแดง ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มาจากมีอาจารย์จุฬาฯ นายหนึ่งออกมาพูดปดว่าทราบจากนักศึกษาของเขา
แต่ก็ได้มีผู้เล่นเว็บบอร์ดเสื้อแดงนำภาพการทำงานของ ศปภ.
ที่ดอนเมืองมาลงโต้แย้งไว้มากมาย
ถึงอย่างไรรัฐบาลก็จำต้องเปลี่ยนตัวโฆษกพิเศษของศูนย์ปฏิบัติการฯ
จากอดีตแกนนำเสื้อแดงมาเป็นอดีตปลัดยุติธรรมที่เป็นพระสหายของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสมัยยังทรงศึกษา
ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การที่นายกนก
และนายธีระออกอาการเชิดชูทหารอย่างมีนัยสำคัญว่า
“ตอนนี้ทหารเป็นฮีโร่ของชาวบ้านไปแล้ว” เป็นผลให้นักเขียนนามปากกา
“นักปรัชญาชายขอบ” นำไปปริวิตกไว้ในบทความของเขาที่ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์
“สะท้อนว่าความเกลียดชังมันฝังลึกจนยากที่จะประสานรอยร้าวให้สนิท
ไม่ว่าจะเผชิญภาวะวิกฤตขนาดไหนก็ตาม”*(7)
รอยร้าวดังกล่าวถูกป้ายเปื้อนอยู่บนสื่อมานานด้วยความเกลียดชังต่อเสียงข้างมากที่ถูกปรามาสว่าขาดคุณภาพ
นับแต่การโค่นล้มรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งอย่างท่วมท้นด้วยรัฐประหาร ๑๙ กันยายน
๒๕๔๙ เปิดหน้ากาก “คนดี” ที่รังเกียจนักการเมืองตัวแทนรากหญ้า
เสน่หาชนชั้นนำสายอำมาตย์
หากแต่รับได้แม้เป็นพันธุ์งูเห่าตราบเท่าที่ถ้าประกาศปาวๆ ว่าจงรักภักดีสุดโต่ง
แม้เอาไปด่าลับหลังดังที่วิกิลี้คส์เผยก็ไม่เป็นไร บัดนี้ถูกแคะไค้ไชชอนผสมโรงไปกับสถานการณ์น้ำท่วม
ตามสื่อสังคมอินเตอร์เน็ต ให้ปริแตกยิ่งขึ้นด้วยการปั้นน้ำเป็นตัวต่างๆ นานา
สภาพการขันแข่ง และแย่งชิงผลงาน
ขณะที่ใส่ร้ายฝ่ายรัฐบาลด้วยความเท็จเช่นนี้ ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
นักวิชาการสถาบันศึกษาเอเซียอาคเนย์ ในสิงคโปร์บอกว่า
“เปิดให้เห็นความเป็นจริงสิ่งหนึ่งในประเทศไทย นี่เป็นสังคมที่แตกร้าวอย่างสุดลึก
ซึ่งความเชื่ออย่างฝังแน่นทางการเมืองได้บดบังความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
และภาวะเร่งด่วนเพื่อการอยู่รอดไปเสียสิ้นแล้ว”...”การนำเอาวิกฤติการณ์จากภัยธรรมชาติมาใช้กำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
กลายเป็นเรื่องที่รับได้ในทุกวันนี้”*(8) (ไปเสียฉิบ)
เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับชนชาติที่เคยภาคภูมิใจในวัฒนธรรม
และจริยธรรมตามหลักพุทธศาสนา
พลเมืองส่วนหนึ่งซึ่งแวดล้อมอยู่ด้วยความเจริญของเมืองได้รับการเรียกขานว่า
“คนเมือง” หรือ “ชาวกรุง” กลับเป็นพวกเมามายในโมหะ และมายาคติ จากการเสี้ยมสอน
และปลุกเร้าให้เกลียดชังคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อที่จะไปเพิ่มความรัก
และศรัทธาบอดแก่คนอีกกลุ่มหนึ่ง จนกลายเป็น “จริต” ติดตัวถึงขั้นกุเรื่องราว
และข่าวเท็จให้เสียหายแก่ฝักฝ่ายทางการเมืองที่ตนไม่ชอบ โดยแอบอิงอย่างเป็นรูปธรรมเอาสถาบันกษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือโจมตี
ทั้งๆ ที่รายแล้วรายเล่าถูกศอกกลับด้วยความจริง
บ้างแค่ยอมขอโทษ บ้างปิดหน้าหลบหนี
บ้างไม่เป็นที่อื้อฉาวยังไมดังเด่นก็ยังไม่ยอมหยุดกันง่ายๆ
หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังทำให้สถาบันฯ เสื่อมเสีย และระคายเคืองยิ่งขึ้นทุกวัน
จะโดยรู้ตัวแบบทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory
ซึ่งน่าจะพากษ์ไทยว่าทฤษฎีบ่อนทำลายมากกว่า) หรือไม่รู้ตัวแบบโง่อวดฉลาดก็ตาม
เฉพาะสองสามรายที่ปรากฏเป็นข่าวบนสื่อสายหลักบางแห่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่า
ผู้ที่มีความจงรักภักดีมากกว่าใครๆ เหล่านั้น ช่างเบาปัญญาเสียยิ่งกว่าผู้ที่พวกเขาบางคนเรียก
“ไพร่”
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้นามว่า Nina Tongprasert
ซึ่งลงข้อความบนทวิตเตอร์ว่าในหลวงทรงรับสั่งเรื่องให้ปล่อยน้ำไหลผ่านวังสวนจิตรฯ
ต้องกลับไปถอนข้อความเมื่อนายวัฒนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ
สำนักพระราชวัง ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่าไม่เคยได้ยินเช่นนั้น แล้วก็มาถึงผู้ใช้นาม
Tammy Musikadilok ทำการตัดต่อภาพนำไปลงบนเฟชบุ๊คบอกว่าในหลวงกับพระเทพฯ
เสด็จไปซุ่มตรวจสภาพน้ำท่วมอยู่บนสะพานในเขตทวีวัฒนาเมื่อคืนวันที่ ๒๕ ตุลาคม
ขณะที่ความจริงพระเทพฯ ทรงมีหมายกำหนดการเสด็จโดยการบินไทยไปอินเดียตั้งแต่เช้าวันที่
๒๕ กำหนดเสด็จกลับในวันที่ ๒๙
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปปรากฏพระวรกายพร้อมกับพระเจ้าอยู่หัวในคืนวันที่ ๒๕
เช่นนี้ทำให้ผู้ที่ลงข้อความดังกล่าวต้องปิดหน้าเว็บ (หรือมีใครช่วยปิด) หายไป
อีกรายเป็นที่ฮือฮามากอยู่เพราะผู้เป็นเจ้าของช่องบัญชรบนเฟชบุ๊คนาม
เอิน กัลยกร ได้รับการกระพือข่าวจากสื่อเครือผู้จัดการว่าเป็น “ดารานักร้องดัง”
เขียนถึงนายกฯ “ซัดทำภาพลักษณ์ผู้หญิงตกต่ำ” เป็นบทความขนาดยาวพอประมาณ
เขียนได้สำนวนคมเข้มแบบกัดเจ็บทีเดียว เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วม จึงมีแต่
“น้ำ”ล้วนๆ ไม่มี “เนื้อ” เท่าไรนัก
เหมือนเป็นการระบายอารมณ์จากอาการกระสันต์ครั่นเนื้อครั่นตัว บ่มิสมอะไรสักอย่าง
ดังที่เธอบอกว่า
“มวลน้ำมหาศาลที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณยิ่งลักษณ์
ผลเป็นอย่างไร...”
ซึ่งเธอควรต้องอธิบายต่อเพื่อให้ได้ “เนื้อๆ” ความ แต่คุณเอินกลับบอกว่า
“...ไม่ต้องอธิบายให้มากความ” เลยมีแต่น้ำๆ เท่านั้น แล้วเธอก็มาฟันธงเอาดื้อๆ ว่า
“ไม่ใช่แค่คุณยิ่งลักษณ์สอบตกทุกด้าน
ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ เธอยังทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงนั้นเสียหาย”*(9)
อย่างนี้คนที่เขาเป็นนักอ่านนักเขียนเห็นแล้วก็ฟันธงเหมือนกันว่า “มุสาเอามัน” ค่ะ
แต่ว่าจะมุสาแค่ไหนไปดูเบื้องหลังตามลายแทง*(10)ที่ไทยอีนิวส์ให้ไว้ ชวนให้คิดว่านี่เป็นกระบวนการบ่อนทำลายรัฐบาลใหม่อีกอย่างโดยสื่อฝ่ายตรงข้าม จากการที่เธอนั้นเป็นลูกสาวของนายนิพนธ์ นาคสมภพ ผู้อำนวยการเอเอสทีวี ๓ ของเครือผู้จัดการที่ทำการประโคมข่าวของเธอ
แต่ว่าจะมุสาแค่ไหนไปดูเบื้องหลังตามลายแทง*(10)ที่ไทยอีนิวส์ให้ไว้ ชวนให้คิดว่านี่เป็นกระบวนการบ่อนทำลายรัฐบาลใหม่อีกอย่างโดยสื่อฝ่ายตรงข้าม จากการที่เธอนั้นเป็นลูกสาวของนายนิพนธ์ นาคสมภพ ผู้อำนวยการเอเอสทีวี ๓ ของเครือผู้จัดการที่ทำการประโคมข่าวของเธอ
ผู้เขียนเองไม่เคยรู้จักนักร้องคนนี้มาก่อน
อ่านบทความที่ว่าเธอเขียนแล้วไม่ค่อยเชื่อว่าเขียนเอง
เพราะสำนวนเหมือนที่ทีมงานเขาใช้กันในคอลัมน์ “ซ้อเจ็ด”
เพียงแต่คราวนี้ดัดจริตเป็นผู้หญิง แต่กระนั้นก็ยังไม่ปรักปรำว่าเป็นบทความ
Ghost Writer
เพียงแค่ตำหนิเรื่องเนื้อหนังมังสา ถ้าได้เนื้อหากว่านี้สักหน่อย
อย่างน้อยแบบที่ทราย เจริญปุระ เคยเขียน เธอก็น่าจะแจ้งเกิดในแวดวงน้ำหมึกได้
ตัวอย่างรายสุดท้ายผู้เขียนเก็บมาด้วยมือจากเฟชบุ๊ค
รายนี้ดูจากชื่อที่ใช้ว่า Chusak Jet Paungphaka น่าจะเป็นเพศชายสไตล์จั๊ดจัด*(11)
ข้อความของเขาไม่ได้เป็นข่าวฟู่ฟ่าเพราะว่าไม่มีสื่อสายหลักเอาไปขยายผล เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนหญิงคนหนึ่งลงภาพ
และข้อความจากการนำรถขึ้นไปจอดไว้บนสะพานว่า “
เตือนด้วยความห่วงใยนะ กรุณาล๊อกให้ดีหลายชั้น
เพราะกลัวพวกไพร่แดงมายกเอาไปถอดป้ายขายที่เขมร
ในยามนี้หลายพื้นที่หายไปตามกันไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำงานไปช่วยบ้านน้ำท่วม
และเดินตามนายใหญ่กันอยู่”
ด้วยความอยากรู้ว่าใครหนอปากจัดสามารถเขียนสั้นๆ
จิกตบกระทบใครต่อใครหลายตลบ ตั้งแต่ไพร่แดงถึงนายใหญ่
ผู้เขียนเลยเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัวเล็กน้อย พบว่าเรียนจากจุฬาฯ แล้วไปอยู่เมลเบิร์น
ออสเตรเลีย ทำงานในร้านจัดดอกไม้ บุคคลที่ศรัทธามีในหลวง พระเทพฯ และคึกฤทธิ์
ก่อนหน้านี้หน่อยหนึ่งช่วงน้ำท่วมถึงอยุธยากำลังจะเข้าปทุมธานี
เพื่อนหญิงที่เขาเข้าไปตอบคนนั้นซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนุ่มม้าร์คยังง่วนกับการลงข้อความกิจกรรมละครเพลง
โดยครั้งหนึ่งได้โพสต์ถึงการรับสมัครนักแสดงไปทดสอบความสามารถ
เธอบอกว่าใครไปก็ได้แต่งตัวกันไปให้สวยๆ แล้วกัน แต่ว่าอย่าใส่สีแดงไปนะ ไม่เอา
การใช้ถ้อยคำหยามเหยียดศักดิ์ศรีเพื่อนร่วมชาติที่แสดงออกในสื่อวงสังคมเช่นนี้มีดาษดื่นไม่น้อยกว่าการวิพากษ์จวกประจานรัฐบาลอภิสิทธิ์ในแวดวงสื่อเว็บเสื้อแดง
ต่างแต่ว่าการวิจารณ์ของเสื้อแดงโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ในเรื่องคอรัปชั่น สองมาตรฐาน
และเข่นฆ่าประชาชน โดยใช้เหตุผล ข้อมูล และหลักฐาน (เป็นคลิป) มายันมากกว่า
ขณะที่พวกผู้ดีโจมตีเสื้อแดงด้วยอารมณ์ และศักดิ์ศรีเป็นที่ตั้ง
ตัวอย่างที่ให้ไว้คงบ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว
ความแตกต่างอย่างแตกแยกเช่นนี้ไม่มีทางบรรจบพบกันได้
ตราบเท่าที่ฝ่ายหนึ่งยังลอยฟ่อง และอีกฝ่ายต้องจมดิ่ง
ในสภาพขัดแย้งล้ำลึกเช่นนี้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องยืนยันมานักต่อนักแล้วว่า
ถ้าปรองดองไม่ได้ คนสุดท้ายที่เหลืออยู่มักจะเป็นฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่า
*(3) http://www.internetfreedom.us/forum/สมิทธ-ประชัย, http://www.ryt9.com/s/tpd/1269909
No comments:
Post a Comment