เกือบ ๑ เดือน นับแต่ ๗
จารย์นิติราษฎร์แถลงข้อเสนอทางวิชาการ ๔ ประการ*(1)ในโอกาสครบรอบ ๕ ปีของรัฐประหาร
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ปรากฏว่าก่อให้เกิดปฏิกิริยามากมายทั้งในทางลบ และบวก
ทั้งในทางวิชาการ และในแวดวงสังคมโดยทั่วไป
จนผู้เขียนเห็นว่าน่าจะทำข้อสังเกตุโดยรวมเอาไว้สำหรับจับตาดูความเป็นไปทั้งในอนาคตอันใกล้
และ/หรือระยะยาวของภาวะการณ์บ้านเมืองอันเกี่ยวเนื่องถึงเนื้อหาในข้อเสนอเหล่านี้
เชื่อว่าเป็นที่กระจ่างแก่ทุกคนที่สนใจ ทุกภาคฝ่าย ทุกค่าย
(พรรค) และแถบสีทางการเมืองแล้วว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์มีด้วยกัน ๔ ประเด็น
แต่ถกเถียงกันมากในประเด็นลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๔๙ เท่านั้น
จะมีก็แต่ผู้บัญชาการทหารบกที่ประสาทไวเหลือหลายต่อในบางประเด็น
ท่านได้ตอบโต้ประเด็นยกเลิกมาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฏหมายอาญาอย่างทันควัน
แล้วต่อมาจึงมีด็อกเตอร์บางคนพาดพิงถึงประเด็น ม. ๑๑๒ นี้โดยอ้อม
ด้วยการเสียดสีเหน็บแนมให้เข้าใจเขวไปว่าเป็นเรื่อง “ล้มเจ้า”
ส่วนประเด็นให้ความยุติธรรมตามกระบวนกฏหมาย (Due Process of
Law) แก่ผู้ต้องหา และการเยียวยาผู้เสียหายจากผลพวงแห่งรัฐประหาร
อันรวมถึงผู้เสียชิวิต บาดเจ็บ สูญหาย
และได้รับเคราะห์กรรมจากการเข้าสลายชุมนุมเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม
๒๕๕๓ กับประเด็นยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้น
กล่าวได้ว่าไม่มีการถกเถียงในทางสาธารณะเลย
ผู้เขียนแม้ไม่ใช่นักวิชาการตามความหมายที่ว่าเป็นผู้มีอาชีพ
หรือเคยมีอาชีพสอนหนังสือ
ก็ขอแสดงความชื่นชมต่อการเสนอคำประกาศนิติราษฎร์ดังกล่าวว่าเป็นความกล้าหาญ
“ทางวิชาการ” แม้จะมีกันเพียง ๗ ท่านเทียบจำนวนไม่ติดกับ ๒๓ คณาจารย์
หรือผู้มีตำแหน่งแห่งหนในมหาวิทยาลัย และสภาทนายความ
พวกท่านก็ทำให้ผู้ใฝ่รู้ได้ทราบข้อเท็จจริงในทางกฏหมายจนเกิดความเข้าใจในเรื่องผิดผีผิดไข้ของกระบวนตุลาการแบบไทยๆ
เป็นการติดอาวุธทางปัญญาแก่มวลประชาชนให้รู้แจ้งถึงกลใน
ว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญแท้จริงนั้นเป็นของประชาชนผู้ซึ่งดำรงสถานะรัฐาธิปัตย์
โดยเฉพาะคนที่อยู่นอกวงวิชาการทั้งหลายได้รับแสงสว่างของการเห็นจริง
อันเนื่องจากการงอกงามทางความคิดในการวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนออย่างกว้างขวางนี้ด้วย
นับเป็นความสำเร็จตามที่คณะนิติราษฎร์มุ่งหวังแล้วในขั้นหนึ่ง
ผู้เขียนเฝ้าจับตาการตื่นตัวของสาธารณะในข้อเท็จจริงต่างๆ
รายล้อมข้อเสนอนิติราษฎร์นับแต่ต้นจนบัดนี้ไม่มีทีท่าว่าจะจืดจาง
พลันเมื่อมีคำประกาศนิติราษฎร์ออกมาเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน กับนายถาวร เสนเนียม ส.ส.
ประชาธิปัตย์ ก็ทำหน้าที่ถนัดค้านสบัดทันทีว่านิติราษฎร์เสนอลบล้างความผิดให้แก่คนๆ
เดียว สื่อบางฉบับที่เป็นปฏิปักษ์กับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย
และนปช. มาตลอดอย่างไทยโพสน์
หรือที่พยายามทำตัวเป็นผู้มีความจงรักภักดีสุดโต่งอย่างสยามรัฐ
ช่วยกันนำคำพูดของนายอภิสิทธิ์ และนายถาวรไปขยายผล จนคณะนิติราษฎร์ต้องทำการแถลงข่าวชี้แจงเป็นครั้งที่สองในวันที่
๒๕ กันยายน
ดังที่ อ.จันจิรา เอี่ยมยุรา กล่าวในการแถลงนำว่า เนื่องจาก
“ส่วนหนึ่งก็เป็นไปในทิศทางการนำเสนอด้วยภาพลบอย่างยิ่ง
ทำนองว่าข้อเสนอของนิติราษฎร์จะทำให้เกิดกลียุคในบ้านเมือง ระส่ำระสายวุ่นวาย
นองเลือด”*(2)
ซึ่งก็คงไม่มีใครตอบการขยายผลคำพูดของนายอภิสิทธิ์
และนายถาวรได้ดีไปกว่า อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เองว่า
“ผมยืนยันว่าผมไม่สนใจว่าข้อเสนอนั้นเป็นประโยชน์กับใคร
ผมดูว่ามันเป็นหลักการที่ถูกต้องแล้วถ้าใครจะได้ประโยชน์ก็ให้เขาได้
ถ้าเขาเสียก็ให้เขาเสีย”... “ผมรู้สึกว่าคุณถาวร และคุณอภิสิทธิ์
ทั้งสองท่านไม่เข้าใจอะไร”...“เพราะถ้าท่านยังไม่รู้เรื่องยังมาเถียงกับผมได้ยังไง
และผมแปลกใจมากว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงเดือดร้อนนักกับข้อเสนออันนี้”...”ไม่ต้องมาพูดว่า
ประเทศนี้ต้องการนิติรัฐไม่ใช่นิติราษฎร์ ท่านเข้าใจหรือเปล่าว่านิติรัฐหมายความว่าอะไร"
คิดว่าหลังจากที่บทความโดย ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง
“นิติรัฐ หรือนิติราษฎร์” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า “นิติรัฐจึงต้องให้ความสำคัญสูงสุดแก่ความเสมอภาค
จะเห็นได้ว่าแม้ในคำว่านิติรัฐ จุดเน้นก็อยู่ที่ราษฎรนั่นเอง เพราะรัฐเฉยๆ
โดยไม่มีราษฎรเป็นแกนหลักนั้นไม่มี (ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพูดในแง่ภาษาว่า
รัฐกับราษฎร์นั้น ที่จริงคือคำเดียวกันในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น)”*(3)
ไปถึงเนตรถึงกรรณนายอภิสิทธิ์ และนายถาวรแล้ว
ต่อไปคงจะรู้จักเก็บงำโวหารตะแบงมารไว้ใช้กับการเมืองล้วนๆ
ไม่นำไปก้าวล้ำก่อกวนในขอบข่ายของการวิสาสะปัญญาอีกต่อไป
ต่อกรณีคำ “ฮึ่ม” ของพยัคฆ์ใหญ่แห่งบูรพา พล.อ. ประยุทธ
จันทร์โอชา ที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งรายงานว่าท่าน ผบ.ทบ.
เตือนว่าเสนออะไรต้องระวังสังคมแตกแยก วรเจตน์เขาตอบว่า
““ผมกลับเห็นว่าการใช้กำลังเสียอีกที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก
ที่บ้านเมืองแตกแยกวันนี้ไม่ได้เป็นผลจากการรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๒๕๔๙
หรือครับ”...”ที่เรากำลังทำอยู่เพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้
และป้องกันการรัฐประหาร
มีคนบอกว่าข้อเสนอของเรากระตุ้นให้เกิดการรัฐประหารหรือเปล่า
ผมคิดว่าความคิดแบบนี้เมื่อมันเปิดกรงออกไป และโบกบินสู่สังคมแล้ว
ต่อให้นิติราษฎร์ทั้งเจ็ดคนไม่อยู่แล้ว แต่ความคิดนี้จะอยู่ในสังคม
มันฆ่าไม่ตายแล้ว”
ในการแถลงข่าวครั้งที่สองนี้วรเจตน์ได้ให้ความกระจ่างต่อข้อเสนอของกลุ่มตนในประเด็นอันเป็นหัวใจสำคัญ
แต่ถูกสื่อมวลชนละเลย หรือมองข้าม นั่นคือการเสนอให้ลบล้างมาตรา ๓๖ และ ๓๗
ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ๒๕๔๙ เพราะเป็นบทว่าด้วยการนิรโทษกรรมให้แก่คณะรัฐประหาร
ซึ่งเป็นการปกป้องผู้กระทำรัฐประหารอย่างถึงที่สุดของแนวคิดเผด็จการ
เป็นการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่าผู้ก่อการรัฐประหารชุดนี้ไม่มีความผิดทั้งในอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต
คณะนิติราษฎร์จึงเสนอทางแก้เงื่อนตายในรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วยตรรกะที่ว่า
“ถ้าประชาชนออกเสียงประชามติในรัฐธรรมนูญที่จะสถาปนาขึ้นใหม่
อำนาจนั้นสูงสุดพอที่จะประกาศได้ว่า นิรโทษกรรมนั้นเสียเปล่าได้
เท่ากับไม่เคยมีการนิรโทษกรรม และให้บุคคลที่ทำรัฐประหารต้องถูกลงโทษ”
หากจะสรุปว่าเหตุใดปฏิกิริยาในทางลบที่มีต่อข้อเสนอนิติราษฎร์จึงออกมากระหน่ำอย่างฟาดหัวฟาดหาง
ไม่ยอมเดินตามแนววิชาการ
และท่วงทำนองของนิติราษฎร์ที่อิงหลักประชาธิปไตยเพื่อประชาชนเป็นแก่นกระพี้
คำตอบคงอยู่ในคำพูดของวรเจตน์อีกเช่นกันว่า ““มาตรา ๓๗
เป็นกล่องดวงใจของคณะรัฐประหาร
ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์นั้นเป็นการทำลายกล่องดวงใจของคณะรัฐประหาร
จึงเป็นที่เข้าใจว่า ทำไมข้อเสนอของเราจึงถูกทำให้กลายเป็นการช่วยคนๆ
เดียวให้พ้นผิด”
ซึ่งคำตอบเกี่ยวกับเรื่องคนๆ
เดียวนี้ก็ชัดเจนอยู่ในคำอธิบายเพิ่มเติมข้อเสนอที่สองโดยวรเจตน์เช่นกันว่า
“ไม่ใช่เป็นการนิรโทษกรรม อภัยโทษ หรือล้างมลทินของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด
หากจะเริ่มดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวใหม่ก็ทำได้ตามปกติ”
เหล่านี้คงพอฟันธงได้แล้วว่าการออกมาโต้โดยบิดเบี้ยวข้อเสนอนิติราษฎร์ของนายอภิสิทธิ์
และ ผบ.ทบ. เป็นเรื่องปกป้องกล่องดวงใจ แม้ว่านายอภิสิทธิ์
และพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้มีรายนามต่อท้าย คปค.
(คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข)
ชื่อย่อทางการของคณะรัฐประหาร การไปจัดตั้งรัฐบาลของตนในกองพลทหารราบที่ ๑๑
และการไปขึ้นเวทีพันธมิตรแสดงความชื่นชมคณะรัฐประหาร
ดังปรากฏหลักฐานคลิปยูทู้ปบนอินเตอร์เน็ต
แม้กระทั่งเมื่อได้เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้วก็ยังทำหน้าที่หัวหอกทางการเมืองปกป้องทหาร
เมื่อแสดงจุดยืนแข่งกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกลาโหม คัดค้านข้อเสนอของ
นปช. ที่ขอให้มีการแก้ไขกฏหมายแต่งตั้งโยกย้ายทหาร*(4)
ก็เพียงพอยืนยันว่า
ถ้าไม่ใช่ให้ท้ายรัฐประหารก็ต้องเป็นการเดินตามก้นคณะทหาร คมช. แน่นอน
เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรง
และอาณิสงค์จากผลพวงของรัฐประหารบางคนที่ออกมาเถียงข้างๆ คูๆ เบี่ยงเบนประเด็นกันต่อมา
นายสัก กอแสงเรือง
แห่งสภาทนายความแห่งประเทศไทยคนหนึ่งละ
ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกคน
ล้วนได้ดิบได้ดีจากรัฐประหารทั้งคู่ รวมทั้งนักวิชาการบางคนในกลุ่ม ๒๓
คณาจารย์ก็เคยรับงานนิติบริกรจากคณะรัฐประหารมาแล้วเช่นกัน ส่วน ดร. ทวีเกียรติ
มีนะกนิษฐ์ ดูเหมือนจะเกาะกระแสเขียนบทความวิพากษ์คณะนิติราษฎร์อย่างสาดเสีย*(5)
แถมยังบริภาษณ์พาดพิงไปถึงผู้ที่เห็นคล้อยข้อเสนอนิติราษฎร์ด้วยวิธีการยกตนข่มท่าน
ดังที่ตีพิมพ์ใน น.ส.พ. มติชนว่า “แถมยังมีตัวช่วยระดับไพร่กลายเป็นอำมาตย์เพิ่มอีกเป็นอันมาก”
หวังว่าด็อกเตอร์ผู้ริอ่านเป็นนักเขียนเล่นสำนวนส่อเสียดจะได้ดังกับเขาบ้างอย่างที่ใจปรารถนา
สำหรับข้อโต้แย้งของนายสักที่เอาสมาชิกสภาทนายความ ๕
หมื่นคนมาพ่วงท้ายด้วยนั้น “ใบตองแห้ง”*(6) แห่งประชาไทออนไลน์
นักเขียนที่เด้งมาจากไทยโพสต์เพราะโรจน์ งามแม้น
เจ้าของหนังสือเขามีนโยบายตีพิมพ์ทุกอย่างที่ให้โทษทักษิณ
ได้รับเอาไปสังคายนาเรียบร้อย แค่ที่ใบตองแห้งสะกิดสะเกาว่า “เอ๊ะ
หรือว่าคุณสักจะอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาสนับสนุนรัฐประหาร
หรืออ้างว่ารัฐประหารทำเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็อ้างอย่างก้ำๆ กึ่งๆ
ยังไงไม่รู้ ไม่เข้าใจตุ้ม ผมยังงงอยู่ว่าคุณสักแกเขียนเองหรือใช้ทนายฝึกหัดตัดแปะ
แต่สรุปได้ว่าคำแถลงนี้นอกจากเลอะเทอะทางความคิดอุดมการณ์แล้ว
ยังสอบตกเรื่องการทำสำนวน การใช้ภาษา การเรียงลำดับ สับสนไปมา”
ผู้เขียนคงไม่จำเป็นต้องยกเนื้อความอื่นใดมาตั้งสังเกตุอีก
แต่ที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงก็คือ ได้มีกลุ่มทนายความ
และนักกฏหมายเพื่อสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์มาซักค้านแถลงการณ์ของนายสักว่า
“เป็นการทำลายหลักนิติธรรม และระบอบประชาธิปไตย
อันนำความเสื่อมเสียมาสู่เกียรติภูมิของสภาทนายความ”
เช่นเดียวกับแถลงการณ์ของ ๒๓
คณาจารย์นิติศาสตร์ก็มีแถลงการณ์ของคณาจารย์ต่อต้านรัฐประหาร*(7) ขึ้นมาทัดทาน
ด้วยการประกาศสนับสนุนข้อเสนอนิติราษฎร์ทั้ง ๔ ประเด็น
แล้วยังชักชวนนักวิชาการอื่นๆ เข้าร่วม
พร้อมทั้งเรียกร้องรัฐบาลให้ความสนใจนำไปศึกษาหาทางปฏิบัติ กับประณามการบิดเบือน
และป้ายสีข้อเสนอนิติราษฎร์ ว่าเป็นการทำลายเสรีภาพทางวิชาการ
และบรรยากาศประชาธิปไตย
ส่วนในเนื้อหาของแถลงการณ์ ๒๓ คณาจารย์นั้น
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการตีขลุมบรรยายอย่างน้ำท่วมทุ่ง และตอบไม่ตรงประเด็นข้อกฏหมายที่นิติราษฎร์เสนอ
เพียงเพื่อจะเบี่ยงประเด็นหาทางสรุปกล่าวหานิติราษฎร์ว่า
“ยังคงมีอุดมการณ์ที่ยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และเป็นระบอบการปกครองที่ประเทศไทยยึดถือมาเป็นระยะเวลายาวนาน
นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกจนถึงฉบับปัจจุบันหรือไม่”
เท่านั้นเอง
และแง่มุมแห่งข้อกฏหมายอันพึงมีในแถลงการณ์ ๒๓ คณาจารย์นั้น
ก็มีนักศึกษากฏหมายปีสี่แห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงคนหนึ่งได้นำไปยำไว้บนหน้าเฟชบุ๊คแล้วอย่างถี่ถ้วน*(8)
เช่นที่ว่า “ทาง ๒๓ คณาจารย์ควรสำเหนียกถึงหลักการพื้นฐานของหลักนิติรัฐ
ที่ต้องประกันความเชื่อถือไว้วางใจของเอกชนที่มีต่อระบบกฎหมายของรัฐ
สำหรับหลักต้นไม้เป็นพิษซึ่งเป็นหลักคิดในทางข้อเท็จจริงที่ส่งผลยุติเฉพาะคู่ความเป็นรายคดี
หาได้ส่งผลบังคับผูกพันเป็นการทั่วไปบังคับแก่บุคคลทั้งหลายไม่
การหยิบยกหลักดังกล่าวมาโจมตีข้อเสนอนิติราษฎร์จึงเป็นไปโดยความมักง่ายของ ๒๓ คณาจารย์โดยแท้”
หรือในตอนท้ายว่า
“กรณีที่ท่านยังมีทรรศนะต่อประชาชนว่ายังไม่ฉลาดเท่าทันนักการเมือง
เช่นนี้คณาจารย์ทั้ง ๒๓ คนก็เป็นประชาชนของรัฐนี้ล่ะครับ ...
และพึงสังวรณ์ถึงความป่าเถื่อนทางความคิดของคณาจารย์ทั้ง ๒๓
ที่วางเจตจำนงทางการเมืองของตนเป็นที่ตั้ง แล้วยัดเยียดความโง่ให้ประชาชนคนอื่นๆ
ซึ่งอาจจะหมายถึงประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ของรัฐด้วยโดยนัย”
เท่านี้ก็คงพอทำให้เห็นตัวตนของ ๒๓ คณาจารย์ว่าไม่ต่างจากพวกที่ถือตนเป็นชนชั้นสูง
นิยมวิธีแก้ปัญหาทางการเมืองโดยรัฐประหารล้มกระดาน หรือว่าใฝ่หามาตรา ๗ ซึ่งก็คือถวายคืนพระราชอำนาจทางการเมืองแก่กษัตริย์
และกลับสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
แนวคิดแบบ ๒๓ คณาจารย์ถูกนำมาตีไข่ใส่สีเสียมันย่องโดย ดร.
ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ โดยเฉพาะในข้อที่อ้างถึงจิตวิทยาของอาชญากรว่า
“คนที่ต้องการยกเลิกกฏหมายใด แสดงว่าเขาอยากทำผิดกฏหมายนั้น”
แล้วทำทีเป็นมีอารมณ์ขันยกตัวอย่างว่าตนอยากให้ยกเลิกกฏหมายกระทำชำเรา
โดยอ้างคำคมที่พวกจงรักภักดีเหนือกว่าใครๆ เคยอ้างกันบ่อยๆ ว่า
“กฎหมายถึงจะมีโทษแรงแค่ไหน ผู้ที่ไม่คิดจะทำผิดกฎหมายย่อมไม่เดือดร้อน”
การกล่าวเช่นนี้เป็นวิธีใช้ตรรกะแบบศรีธนญชัยซึ่งมีแต่ด็อกเตอร์ผู้ได้รับเศษอาหารของเผด็จการในประเทศไทย
หรือทาศเผด็จการในประเทศอาหรับนิยมใช้กัน
ผู้คนที่เจริญแล้วในทางจิตสำนึก (Mentality)
ประชาธิปไตยเขาจะไม่กล้าใช้ตรรกะนั้น
เพราะมันแสดงถึงความป่าเถื่อนแบบสัตว์ที่ยังเป็นดิรัจฉาน
ยังไม่ได้รับการฝึกให้เชื่อง
หรือไม่สามารถทำให้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์อย่างสันติสุขได้
เมื่อการใช้เหตุ และผลไม่มีความหมาย จะต้องใช้วิธีการรุนแรง ทำร้าย
และเข่นฆ่ากันให้หวาดกลัวเท่านั้น น่าเสียดายที่ ดร.
ทวีเกียรติเป็นผู้สอนวิชากฏหมายแต่ไม่ทราบว่าหลักการทางอาชญวิทยานั้นให้กำหนดโทษเพียงพอเหมาะพอควรแก่ความผิด
มิฉะนั้นจะเป็นการโหดร้ายทารุณ แถมทำให้ผู้ต้องโทษไม่หลาบจำด้วย..ฮ่วย
ที่จริงการกำหนดโทษรุนแรง
และมีระวางโทษขั้นต่ำเพื่อให้เกิดการหวั่นเกรงมากเป็นพิเศษ
ก็มีปรากฏในประเทศที่ระบบตุลาการเดินตามครรลองประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน
ดังพบว่ามีการออกกฏหมายระบุความผิดขั้นรุนแรง (Capital Punishment)
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการใช้ความหวาดกลัวโทษหนักเป็นเครื่องมือกำหราบ่ให้ผู้ต้องหายอมรับสารภาพ
(Plea Bargaining) ก่อนจะไปถึงการพิจารณาคดีแล้วจะได้รับลดหย่อนผ่อนโทษ ถ้าใครยังฝืนสู้คดีต่อไปก็จะถูกอัยการเพิ่มกระทงข้อหาซึ่งถ้าถูกพิพากษาผิดจะต้องรับโทษหนักขึ้นไปเป็นสิบเท่า
กรณีเช่นนี้เรียกว่า โทษทัณฑ์ของการสู้คดี (Trial Penalty)
กำลังถูกวิพากษ์อย่างมากว่าเป็นการบีบคั้น (Coercion)
ที่ผิดเพี้ยนไปจากกระบวนการยุติธรรม ทำให้ผู้ต้องหาอาจรับสารภาพทั้งที่บริสุทธิ์
(ดังเช่นผู้ต้องหา ม.๑๑๒ จำนวนมากในประเทศไทย) เพราะไม่อยากติดคุกนาน
หรือโดนโทษหนัก
นายริชาร์ด อี. ไมเออร์ ที่สอง
อดีตผู้ช่วยอัยการรัฐบาลกลางสหรัฐ ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์สมทบภาควิชากฏหมาย
มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลน่า กล่าวว่าทางปฏิบัติซึ่งผู้ต้องหายอมรับสารภาพเพื่อหลีกเลี่ยงถูกอัยการเพิ่มกระทงความผิดนี้
ทำให้อำนาจในการกำหนดโทษไปสะดุดอยู่ที่อัยการแทนที่จะเป็นอำนาจวินิจฉัยของผู้พิพากษาล้วนๆ
เขาแสดงความเป็นห่วงว่าการเปลี่ยนมืออำนาจ "ถ้าไปอยู่ในมือที่ไม่เหมาะสม
จะทำให้กระบวนการยุติธรรมทางคดีอาญาถูกกักเป็นตัวประกันได้"*(9)
สำหรับการที่อธิการบดีธรรมศาสตร์ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีต
คตส. อีกผลพวงหนึ่งของ คปค.
ร้อนใจจนต้องเขียนในเฟชบุ๊คยอกย้อนเสียดแทงนิติราษฎร์เป็นคำถามกึ่งไร้เดียงสาถึง
๑๕ ข้อ นั้นได้มีผู้ที่ให้เกียรติต่อตำแหน่งอธิการบดีเขียนตอบกันมากมาย
นับแต่อดีตคณะบดีนิติศาสตร์ มธ. อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์
ผู้เคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ และเคยเป็นวุฒิสมาชิกจากการเลือกตั้ง
กรุณาตอบด้วยหลักกฏหมายล้วนๆ เช่นว่า “ป.อาญา ม.๑๑๒
เท่าที่มีการตีความและใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีผลขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแน่นอน
เพราะเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนซึ่งเป็นสิทธิขั้น
มูลฐานตามรธน.ของประชาชนโดยสิ้นเชิง”*(10)
นอกนั้นก็มี อ. ใจ อึ๊งภากรณ์
อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
ซึ่งต้องระเห็ดไปอยู่ลอนดอนเพราะเขียนหนังสือวิพากษ์ทางวิชาการต่อคณะรัฐประหารเลยโดนข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
ให้เกียรติ “จัดให้” เหมือนกันในข้อเขียนเรื่อง “ตอบนักวิชาการสลิ่ม..”
ต่อท้ายเรื่อง “เบื้องหลังพวกเสื้อเหลืองที่คัดค้านข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์”
เชิญทัศนากันเต็มๆ ที่ redthaisocialist.com
ดูเหมือนดร. สมคิดจะมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ ใครๆ
ก็อยากตอบคำถาม ๑๕ ข้อของท่าน ไม่เพียงหนังสือพิมพ์ข่าวสดบรรจงตอบในคอลัมน์
“เหล็กใน” ว่า “โถ..อธิการบดี”*(11) แล้วคุณพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
นักศึกษากฏหมายช่วยจัดให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ดังตัวอย่างที่เขาตอบคำถามข้อ ๑๔ ว่า
”คุณสมคิดครับ รัฐธรรมนูญเกิดทีหลัง ประชาชนซึ่งมีสิทธิเสรีภาพติดตัว
(สิทธิมนุษยชน) มาก่อนรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น แม้จะไม่มีหมวดสิทธิเสรีภาพ
ถามว่าประชาชนจะไม่มีสิทธิเสรีภาพหรือ คำตอบคือเขายังมีบริบูรณ์ทุกประการ”*(12)
ต่อกรณีที่ ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ นักกฏหมายค่ายเยอรมนี เขียนคำวิจารณ์ต่อข้อเสนอนิติราษฎร์อย่างนักวิชาการแท้ๆ ก็ได้มีการวิภาษทางวิชาการจากนายพุฒิพงศ์นักศึกษากฏหมายแล้วเช่นกัน*(14) หากแต่มีบางตอนที่ ดร. กิตติศักดิ์ อ้างไว้ทำให้ผู้เขียนเกิดตะขิดตะขวง จะปล่อยเลยไปเพราะเหตุว่าท่านเป็นอาจารย์ได้ทุนไปลงแรงร่ำเรียนมามาก เหมือนอย่างที่ ดร.ทวีเกียรติใช้อ้างหลอกด่านิติราษฎร์ว่าเป็น “ต้นไม้พิษ” ก็เกิดอาการอึดอัดขัดขืนในใจ จึงขอร่วมวงวิภาษวิธีตรงนี้หน่อย
ดร. กิตติศักดิ์เขียนไว้ว่า
“แม้ประชาชนจะลงประชามติไว้ว่าอย่างไรก็ตาม
หากประชามติซึ่งเป็นการใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนนั้นขัดต่อกฎหมาย
ศาลซึ่งเป็นคนกลางที่เป็นอิสระก็มีอำนาจชี้ขาดว่าประชามตินั้นขัดต่อกฎหมาย
และไม่มีผลบังคับ” แล้วยกตัวอย่างคดีที่ศาลสหรัฐพิพากษาแย้งประชามติการผ่านร่างข้อเสนอที่
๘ ในแคลิฟอร์เนียห้ามบุคคลเพศเดียวกันจดทะเบียนแต่งงาน ผู้เขียนคิดว่า
ดร.กิตติศักดิ์สำคัญผิดในสถานภาพซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับการบังคับใช้กฏหมาย
และจิตสำนึกของประชาชนต่อระบบการปกครองระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเทศไทย
ในเรื่องห้ามบุคคลเพศเดียวกันแต่งงานในแคลิฟอร์เนียนั้น
คำพิพากษาศาลรัฐบาลกลาง (ไม่ใช่ศาลสูงสุดสหรัฐ)
ในคดีแพรีกับชว้าทซเน็กเกอร์เป็นเพียงตัดสินว่าการทำประชามติในข้อเสนอที่ ๘
ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายสนับสนุนข้อเสนอนี้ได้ยื่นฎีกาต่อศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียทันที
ศาลรับคดีเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ ขณะนี้คดียังไม่สิ้นสุด
ผลบังคับของประชามติยังคงดำรงอยู่
การที่ ดร. กิตติศักดิ์สรุปว่า
“แต่ศาลสหรัฐอเมริกาก็ได้ยอมรับว่าเมื่อเสียงส่วนมากใช้ไปในทางที่ผิด
ศาลซึ่งแม้เป็นเสียงข้างน้อยที่แสนจะน้อยก็มีหน้าที่ชี้ถูกชี้ผิดให้เสียงข้างมากรับรู้ไว้”
เป็นการสรุปที่ไม่ตรงประเด็น หรือเบี่ยงประเด็น
เพราะคำพิพากษาอ้างรัฐธรรมนูญว่าการยื่นข้อเสนอ (ให้ประชาชนโหวต) นั้นผิด
ไม่ใช่เสียงข้างมากที่โหวตออกมาผิด ดังนั้นถ้าเป็นการต่อสู้คดีในอเมริกา
ข้อโต้แย้งของ ดร.กิตติศักดิ์ถือว่าเสียเปล่าไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้
ท้ายที่สุดนี้
ดังได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้วว่าคุณูปการอันเกิดจากข้อเสนอนิติราษฎร์สำคัญที่สุดก็คือก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง
และผลแห่งการแสดงปฏิกิริยาในทางลบต่อข้อเสนออย่างมีเลศนัยบ้าง
อย่างเต็มไปด้วยโมหะจริตบ้าง อย่างตะแบงชนิดไร้เดียงสาบ้าง
ล้วนทำให้มองเห็นประโยชน์ หรือข้อดีต่างๆ ของหลักการในข้อเสนอมากยิ่งขึ้น
ข้อตำหนิจากนักวิชาการบางท่านว่าข้อเสนอนิติราษฎร์ยังไม่ละเอียด
และไม่กระจ่างในบางเรื่องก็ค่อยๆ ผ่อนคลายไป
จนบัดนี้เริ่มเห็นแสงไฟที่ปลายทางบ้างแล้วว่า ความเลวร้ายทางการเมืองตลอด
๕ ปีที่ผ่านมาอันเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้กฏหมาย
มายาคติของการแบ่งชนชั้นในสังคมระหว่าง “คนดี” ที่มีประกาศนียบัตร
และปริญญาทางการศึกษา กับรากหญ้าที่มีจำนวนมากกว่าท่วมท้น
และจิตสำนึกเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานในการฆ่าหมู่ผู้คนที่ไม่ยอมนอบน้อมกราบไหว้
จะแก้ไขด้วยนามธรรมของการปรองดองอย่างเดียวไม่ได้
แต่จักต้องพร้อมกันลงมือจัดทำอย่างเป็นรูปธรรม
ก้าวแรกอยู่ที่จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์
*(8) http://www.matichon.co.th/พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
*(9) http://www.nytimes.com/2011/09/26/us/tough-sentences-help-prosecutors
*(14) อ้างแล้วที่ (๑๒)
No comments:
Post a Comment