Sunday, August 21, 2011

ยิ่งรักยิ่งช้ำยามชิงชัง


สองสัปดาห์นับแต่ได้รับ “พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ” แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามคะแนนเสียงที่ได้เกือบ ๑๖ ล้านของพรรคเพื่อไทย บวกกับพรรคร่วมอีกราว ๔ ล้าน รวมแล้วน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับเป็นหัวหน้ารัฐบาลของประชาชนอย่างท่วมท้นไม่น้อยหน้าพี่ชาย

แต่ว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา น.ส. ยิ่งลักษณ์กลับเผชิญกับแรงบีบคั้นทางการเมืองหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าช่วงสองเดือนแรกรัฐบาลไทยรักไทยของพี่ชาย

ไม่เพียงแต่การเลือกสรรตัวบุคคลเข้าไปกำกับควบคุมกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ถูกกีดกันจากอำมาตย์ผู้กำอำนาจแท้จริงในบ้านเมือง กระซิบปรามบุคคลากรเกรดเอไม่ให้รับงานจากพรรคเพื่อไทย นอกเหนือไปจาก “ห้าม” แต่งตั้งคนที่เป็นแกนนำ และเคยแสดงตนชัดแจ้งว่าฝักใฝ่ หรือผูกพันใกล้ชิดกับขบวนการ “เสื้อแดง”

ผลที่ออกมาเลยได้คณะรัฐมนตรีชุดยิ่งลักษณ์ ๑ ที่มีเสียงกระแนะกระแหนว่าคุณภาพเป็นอันดับสามรองจากเกรดซี ด้วยข้อตำหนิว่าหลายคนมีวุฒิทางการศึกษาไม่ตรงกับชื่อกระทรวง มิใยที่เสียงแห่งความเห็นใจ และให้กำลังใจ มีให้ได้ยินประปรายว่าเจ้ากระทรวงที่ไม่ใช่ลูกหม้อ หรือมาจากสายงานเดียวกันก็สามารถสร้างความเจริญแก่องค์กรได้

ดังที่ น.ส.พ.มติชนออนไลน์*(1)ขุดเอาข้อเขียนของอดีตนิติบริกรคนดัง ดร.วิษณุ เครืองาม เคยอ้างไว้ว่า พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขในสมัยรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร คนร้องยี้กันว่าเอาตำรวจมาบริหารข่ายงานแพทย์ กลับปรากฏว่ายุคนั้นสาธารณสุขโตเอาโตเอา แม้จะเป็นด้านวัตถุเสียส่วนใหญ่ก็ตาม

ไม่เท่านั้นยังมีความหวังกันอยู่ว่า อีก ๖ เดือนข้างหน้าจะได้มือวางเกรดเอพันธุ์แท้จากบ้านเลขที่ ๑๑๑ ซึ่งกำลังจะพ้นโซ่ตรวนบ่วงกรรม มาเสริมให้รัฐบาลเพื่อไทยกลายเป็น “ยิ่งรัก” ก๊อกสองที่หนาปึก แน่นปัก ไม่แพ้ยุคไทยรักไทย

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่ารัฐบาลอันเป็นที่รักยิ่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพ้นบ่วงมารได้ง่ายๆ

ล่าสุดก็ด้วยการนำร่องของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ยกขบวนไปประท้วงหน้าสถานทูตญี่ปุ่นที่บังอาจอนุมัติวีซ่าให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปเยือน แล้วสลิ่มตัวพ่อก็เดินสายต่อไปกดดันกระทรวงเท็คโนโลยี่สารสนเทศ และสื่อสาร (ไอซีที) ให้เร่งดำเนินการปิดสื่อออนไลน์ที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ ทั้งนี้โดยใช้รถหาเสียง ๘ ลำโพงคันเดียวกับที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ตระเวณหาเสียงในกรุงเทพฯ ระหว่างการเลือกตั้งที่ผ่านมา*(2)

จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ดำเนินการฟ้องร้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ในข้อหาช่วยผู้ต้องคดี คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้หลบหนีเข้าประเทศญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็จะรวบรวมรายชื่อส.ส. ๑๒๕ คนยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อถอดถอนจากตำแหน่ง รวมทั้งยังจะขยายผลไปถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีด้วย*(3)

จะเห็นได้ว่าแม้จะมาในมาดใหม่ของน้องสาวที่หน้าตาสะสวย และปฏิกิริยาตอบสนองต่อฝ่ายจ้องกัดนั้นนุ่มนวลกว่าเมื่อก่อน ขณะที่นโยบาย และแผนงานผลักดันเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับท่าทีในการแสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์คงความนอบน้อมเหนียวแน่น

ก็หาได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามของอดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยเพลามือลดละตามล้างตามผลาญ

ดังว่าที่โฆษกของพรรค ปชป. นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ออกมาร้องแรกแหกกระเชอว่า “สองสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่แสดงผลงานเรื่องใดที่สอดคล้องกับที่ได้หาเสียงไว้”*(4)

นี่คืองานอันแสนถนัดของพรรคประชาธิปัตย์มาแต่ไหนแต่ไร จะเรียกว่าหมกเม็ดค้านดะ หรือค้านอย่างสร้างสรรค์ก็คงมีค่าเท่ากันสำหรับพรรคที่มีชื่อเสียงในการ “ค้านเป็น” อย่างเดียว แต่ไม่เคยบริหารงานสำเร็จเลยในฐานะรัฐบาล

ขณะที่พรรคของตนทำงานสองปีกว่าไม่ปรากฏผลงานที่เป็นความคืบหน้าใดๆ แต่ท่านว่าที่โฆษก ปชป. ต้องการเห็นผลงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ภายในสองสัปดาห์ โดยมิพักที่จะรับฟังถ้อยแถลงของพรรคเพื่อไทยในกรอบแผนงานเร่งด่วน ๑๓ ข้อ ที่จะดำเนินการให้บรรลุผลในหนึ่งปี และนโยบายระยะยาวสี่ปี ๖ ข้อที่จะเริ่มดำเนินการพร้อมกันไปในทันที

ก่อนหน้านี้ตัวหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งมอบงานให้รัฐบาลใหม่โดยอวดอ้างว่าทำให้เงินคงคลังเพิ่ม ถึงสองแสนห้าหมื่นล้านบาท แต่มีคนอ่านข่าวแล้วสงสัยเลยลองไปบวกลบคูณหารใหม่ พบว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กู้เงินมาหนึ่งล้านสี่แสนล้านบาท เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์อุจจาระเป็นหนี้ทิ้งไว้ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงหนึ่งล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท

นี่แหละคือความเจ้าเล่ห์ของพรรคคู่กัดเพื่อไทย เหมาะเหม็งสมดังวลีที่ว่า “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ผู้อื่น”

ยังไม่นับกรณีที่เป็นมลทินมหันต์ประชาชนถูกทหารยิงตายไปเกือบร้อยศพ บาดเจ็บอีกสองพัน สูญหายกว่าร้อย เป็นปีแล้วยังสรุปคดีไม่ได้ แถมเกิดตอผุดพบว่ามีการศพเอาไปฝากฝังไว้ที่วัดในอำเภอแกลงตั้ง ๑๖๙ ราย ไม่มีบัญชีรายชื่อว่าเป็นใครบ้างมาจากไหน เกิดการสงสัยว่าจะเป็นคนเสื้อแดงที่สูญหายเหล่านั้น

แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังไม่วายบุ้ยบ้ายด้วยนิสัยชอบปดตามวัฒนธรรมของพรรคว่าเป็นศพไม่มีญาติเอามาล้างป่าช้า ไม่ทราบว่าใครหนอช่างมีความพยายามเหลือล้น อุตส่าห์ขนศพเป็นร้อยๆ จากชุมพรอ้อมไปถึงระยอง

ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่ที่ยิ่งรักจะมองเห็นเทร็นด์ของการตีรวนจากเครือข่ายผู้ทรงอำนาจ และข้าทาสบริวารหรือไม่

นับแต่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะตั้งรัฐบาลได้เพราะต้องรอให้กรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ทรงอำนาจข่ายองค์กรอิสระแขวนไว้จนสะใจ แล้วต้องมารอให้พวกคนดีมีความสามารถปฏิเสธไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีเสียก่อนจึงได้ตั้งคณะรัฐมนตรีเกรด (ไม่) ดีออกมา ระหว่างนั้นก็ถูกคู่แข่งที่พ่ายแพ้ไปแล้วแต่ชอบสอนชอบสอด ท้วงโน่น เตือนนี่ ทั้งที่สมัยของตัวเองไม่ยอมทำ หรือทำเองไม่เป็น ขณะที่สื่อเส้นสายท่านประธานอภิรัฐมนตรีอย่างเครือเนชั่น และสื่อสลิ่มแค้นทักษิณอย่างไทยโพสต์ของโรจน์ งามแม้น ก็ยังกระหน่ำตีทั้งทักษิณ พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลใหม่อย่างไม่ลดละ

เหล่านี้มันบ่งบอกชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลที่มาจากความยิ่งรักของคนรากหญ้าเสื้อแดง และขบวนการประชาธิปไตยนี้ ไม่เป็นที่ต้องการของคนพาลผู้ทรงอำนาจ จะกราบกรานเอาใจ ยอมสยบเพียงใดก็ไม่มีทางวางใจได้เลยว่าจะถูกฉกกัด และพ่นพิษใส่เมื่อไหร่เวลาใด

รัฐบาลใหม่ และพรรคเพื่อไทยได้ทำร้ายจิตใจกระบวนการเสื้อแดงมาพอควรแล้ว ทั้งที่ถูกยกเป็นข้ออ้างว่าอัปลักษณ์หน้าตาน่าเกลียด และที่ถูกกล่าวหาว่าดุดันน่ากลัว ซึ่งคนเสื้อแดงก็น้อมรับสภาพด้วยความเข้าใจในยุทธวิธี และเงื่อนงำอำพราง

จึงไม่เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งถ้าจะตัดรอนกับฐานเสียงอันสำคัญไม่ต่ำกว่าสิบล้านคนให้มากไปกว่านี้

การที่นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ให้สัมภาษณ์สื่อแสดงความเห็นว่าเสื้อแดงควรจะถอยออกไป ไม่ควรเรียกร้องอะไรกับรัฐบาลใหม่ในเรื่องของการบริหารงาน อาจเป็นการพูดที่ถูกกาละต้องรับฟัง แต่ก็ยังเป็นการพูดในเทศะที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

เดชะบุญที่นายวีระกานต์ได้ถอนตัวถอยห่างไปจากแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นานแล้วหลังจากได้รับการประกันตัวไปเป็นคนแรก ส่วนจะยังมีสายใยผูกพันวงในพรรคเพื่อไทยเพียงใดไม่เป็นที่เปิดเผยนั้น ช่วยให้ฐานเสียงเสื้อแดงไม่หมองหมางไปกว่าที่เคยเป็นมา ความ “ยิ่งรัก” ก็ยังไม่เปลี่ยนผันถึงขั้นเลวร้าย

ส่วนกรณีที่ นอ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการไอซีทีให้สัมภาษณ์ว่าจะต้องเร่งรัดจัดการกับเว็บไซ้ท์หมิ่นสถาบันฯ อย่างเต็มพิกัดก็เช่นกัน เป็นการพูดถูกต้องในหลักการ แต่ผิดมหันต์ในด้านมารยาทต่อมวลชนที่ทำให้พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล และตนเองได้เข้าไปเป็นรัฐมนตรี

ในเมื่อส่วนหนึ่งของแกนนำเสื้อแดงถูกป้ายข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนถูกวิจารณ์ว่ากำหนดโทษร้ายแรงเกินหลักสิทธิมนุษยชน และนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายกันทางการเมือง สมควรต้องจำกัด หรือยกเลิก เพราะมีกฏหมายอาญาปกติเรื่องการหมิ่นประมาทครอบคลุมอย่างเพียงพอแล้ว

การแสดงความจงรักภักดีอย่างลิงโลดของ รมว. ไอซีที เลยกลายเป็นโอกาสดีของว่าที่รองโฆษกพรรค ปชป. คนใหม่ เอาไปขยายผลใช้เป็นพร็อปฉากหลังเปิดตัวให้แก่ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี อย่างงดงาม

การที่พรรคเพื่อไทย และคนในรัฐบาลใหม่แสดงท่าทีให้เป็นที่พอใจของผู้ทรงอำนาจในแผ่นดิน โดยแม้จะยังไม่เกินเลยถึงขั้นตัดรอนถอนสมอจากมวลชนคนเสื้อแดง แต่ก็เป็นที่ห่วงใยไม่น้อยในหมู่ผู้ที่ “ยิ่งรัก” ประชาธิปไตย ดังปรากฏข้อเขียนเชิงวิชาการสองสามชิ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา

คำเสนอแนะของ ดร. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ว่าฝ่ายเผด็จการยังทำการตอกลิ่มให้เกิดการแยกสลายระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกระบวนการเสื้อแดงอยู่อย่างขะมักเขม้น เพื่อที่จะลบล้างทำลายกระแสประชาธิปไตย

ประจวบกับข้อเท็จจริงที่ ดร. ลิขิตนำมาตอกย้ำว่า “ขบวนคนเสื้อแดงเป็นกองทัพนอกสภาที่เข้มแข็งและกว้างใหญ่ไพศาล เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย”*(5)

อีกทั้งบทความโดยผู้ใช้นามปากกา “นักปรัชญาชายขอบ” ที่ว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง มีความเป็นเนื้อเดียวกัน ที่ไม่อาจแยกหรือตัดขาดจากกันได้” หากมีการสมยอมภายใต้วาทกรรมประนีประนอม โดยหงอให้กับอำมาตย์ และเดินตามเกมศีลธรรมดัดจริตจนไม่สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้ละก็ “คือความสูญเปล่าของการต่อสู้กว่า 5 ปี ที่ผ่านมา”*(6)

หรือกระทั่งบทความชิ้นหนึ่งในหนังสือมติชนสุดสัปดาห์พูดถึงคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ว่าเป็นแนวร่วมกันมาตลอดระยะเวลาหกปีที่ต่อสู้ทวงคืนประชาธิปไตย และยังจะต้องร่วมกันต่อสู้ต่อไปอีกไม่น้อยกว่าสี่ปี โดยที่ “สถานการณ์ขณะนี้บีบบังคับให้คนเสื้อแดงจะต้องสู้ต่อ ถ้าหยุดอยู่แค่นี้ก็จะพ่ายแพ้ซ้ำ ถ้าสู้ผิดจังหวะก็อาจพ่ายแพ้อีก”


และ แม้พรรคเพื่อไทยจะหายไปคนเสื้อแดงก็จะยังอยู่ เป็นปลายแหลมของคมทวนที่พุ่งเป้าไปยังเผด็จการตลอดเวลา”*(7)


ข้อเขียนทั้งสามชิ้นให้ข้อคิดเหมือนกันว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยสยบให้แก่ผู้ทรงอำนาจโดยสมยอมสวมใส่ความชิงชัง แล้วไสส่งกระบวนการเสื้อแดงออกไป จะหยุดยั้งการเติบโตของประชาธิปไตยได้ดังหวังต้องการของอำมาตย์

ผลร้ายย่อมเกิดแก่พรรคเพื่อไทยเอง แม้จะได้รับการโอบกอด และกระเช้าดอกไม้จากชนชั้นนำ ก็เป็นเพียงความอิ่มเอมที่ปราศจากฐานเสียงอันเป็นดั่งเนื้อนาแห่งตน สภาพแห่งพรรคการเมืองเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการล่มสลาย

มวลชนที่ต่อสู้เพื่อให้ได้เห็นประชาธิปไตยแท้จริงเกิดขึ้นย่อมชอกช้ำด้วยความผิดหวัง ที่ดิ้นรนไขว่คว้าอย่างสาหัสแล้วก็ยังไม่ได้ แต่พรรคเพื่อไทยกับรัฐบาลอันเป็นที่รักยิ่งจักช้ำชอกยิ่งกว่า เมื่อต้องสูญสิ้นมวลชนของตนที่เคยมีเคยได้ไป

*(1) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313235387&grpid=01&catid=&subcatid=

*(2) http://thaienews.blogspot.com/2011/08/8.html

*(3) http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=11776

*(4) http://www.dailyworldtoday.com/hotnews.php?hotnews_id=47018

*(5) http://www.prachatai.com/journal/2011/08/36543

*(6) http://www.prachatai.com/journal/2011/08/36580

*(7) มุกดา สุวรรณชาติ, “เสื้อแดง…บนเส้นทางแนวร่วม เติบโตได้..และจะเป็นกำลังหลัก”, คอลัมน์หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว, มติชนสุดสัปดาห์ ๑๙-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔

No comments:

Post a Comment