Tuesday, June 21, 2011

เข้าทางตรง

:ผ่านโค้งสุดท้ายสู่คูหากาบัตร
บัดนี้กระบวนการเลือกตั้งทั่วไปประเทศไทยผ่านโค้งสุดท้ายเข้าทางตรงจะสู่เส้นชัยกันแล้ว
ในห้วงที่เหลือเวลาอีกอาทิตย์ครึ่งจะถึงวันเข้าคูหากาบัตร ท่ามกลางกระแสคะแนนหยั่งเสียงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ยังนำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
ธาตุแท้ และกลยุทธทางการเมืองของแต่ละฝ่ายได้ถูกปล่อยออกมาอย่างกระชั้นถี่ เหมือนดั่งว่าเจตนามิได้มุ่งหมายเก็บคะแนนให้แก่ตน หากแต่ให้ร้ายกีดกันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เกี่ยวผลพวงแห่งความนิยมได้สะดวก แล้วยังมีขาที่สาม (หาง) พยายามสะบัดปัดเหวี่ยงไม่ให้กระบวนเลือกตั้งไปได้ตลอดรอดฝั่งอีกด้วย
ทีว่าธาตุแท้นั่นเป็นเรื่องเบื้องลึกในอารมณ์ทางการเมืองของแต่ละฝ่าย อันอัดแน่นไปด้วยความรุนแรงจนเกิดระเบิดออกมาระหว่างการหาเสียง เมื่อคุณหญิงภรรยาอดีตปลัดฯ กลาโหมปราดเข้าไปตบบุคลากรของพรรคเพื่อไทยที่ตลาดสดกิ่งจันทร์ แขวงวัดพระยาไกรเมื่อใกล้ถึงปลายพฤษภาคม แล้วอีกหนึ่งเดือนต่อมาก็เกิดเหตุผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยกระโดดถีบกองเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ระหว่างการหาเสียงที่ฝั่งธนฯ
แต่ที่เกี่ยวกับกลยุทธนั้นมักเป็นวิชามารซึ่งฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลรักษาการชุดเทพประทานขุดออกมาใช้ บ้างด้วยวาจาข่มขู่คำรามสามหาว ดังที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาออกมาให้สัมภาษณ์หลายครั้งอ้างเดชานุภาพสถาบันกษัตริย์ แต่ก็ถูกโต้กลับด้วยข้อมูลทางปัญญาจนหน้าหงาย*(1)
บ้างใช้เล่ห์ศรีธนญชัยอย่างเคยบิดพริ้วกฏหมายเพื่อก่อกวนด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะให้กระบวนการล่ม ดังที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส. และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้ร่วมกันจัดล่ารายชื่อยื่นกล่าวโทษ นส. ยิ่งลักษณ์ต่อดีเอสไอในวันที่ ๒๑ มิถุนายน มุ่งหวังให้ กกต. นำไปขยายผลตัดสิทธิของเธอ ซึ่งในงานมีการแจกสติ๊กเกอร์ ความว่า ไม่เลือกประชาธิปัตย์ (รูปตัวเงินตัวทอง) มาแน่”*(2)
ส่วนสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์พยายามทำอย่างสุดลิ่มทิ่มตำในการหาเสียงก็หนีไม่พ้นใช้ลิ้นปลิ้นปล้อนต่อไป นอกจากไม่สามารถตอบโจทย์ของคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยที่เรียกร้องให้รับผิดชอบการสั่งฆ่าประชาชนเกือบร้อยเมื่อ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่สี่แยกคอกวัว และราชประสงค์แล้ว
ยังโป้ปดโจมตีขบวนการเสื้อแดงโดยผูกโยงกับพรรคเพื่อไทยว่า เผาบ้านเผาเมือง
ที่ว่า โป้ปด หาใช่โวหารของผู้เขียนแต่อย่างใด มีข้อเท็จจริงที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารเซ็นทรัลเวิร์ลด์ออกทางสื่อสาธารณะเมื่อไม่นานมานี้ ว่าการเผาห้างนั้นเกิดหลังจากการชุมนุมของ นปช. สลายไปแล้ว ซ้ำคนเสื้อแดงที่เข้าไปอาศัยร่มอยู่ในเซ็นทรัลเวิร์ลด์ล้วนถูกขับออกมาก่อนจะยุติการชุมนุม นอกจากนั้นยังมีกำลังทหารเข้าไปเคลียร์พื้นที่ ไล่ต้อน รปภ. ของห้างออกจากอาคารจนเกลี้ยง ทั้งยังระดมยิงออกมาสกัดไม่ให้มีใครกลับเข้าไปได้อีก จากนั้นจึงได้มีไฟลุกขึ้น และลามไปอย่างรวดเร็ว โดยที่หัวฉีดน้ำอัตโนมัติถูกปิด และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติการได้
นอกเหนือจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแน้นเชียลไทม์ด้วยว่าพรรคเพื่อไทยรณรงค์เลือกตั้งครั้งนี้อย่างสุดเหวี่ยงด้วยจุดมุ่งหมายล้างมลทินให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนำเขากลับสู่ประเทศไทย นายกฯ เทพประทานบอกว่าการเลือกพรรคเพื่อไทยจะทำให้เสถียรภาพของประเทศสั่นคลอน*(3)
เช่นนี้ถึงแม้จะอ่านบทสัมภาษณ์อย่างละเอียด ก็ไม่พบเหตุผลที่ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งได้ว่าเพราะอะไรการกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนของทักษิณจะทำให้เสถียรภาพของประเทศไม่มั่นคง นายอภิสิทธิ์ตอบสัมภาษณ์ด้วยวาทกรรมต่างๆ นานาอ้อมไปอ้อมมาไม่เข้าเป้า สมแล้วที่เคยมีผู้นำแรงงานสตรีไปยกป้ายขณะนายอภิสิทธิ์ปราศรัยว่า ดีแต่พูด”* (4)
หากจะรับฟังตามข้อวิพากษ์ที่ผู้เขียนข่าวของไฟแน้นเชียลไทม์ (รวมทั้งที่นายคริส เบเกอร์ นักวิชาการเกี่ยวกับประเทศไทยบอกแก่ น.ส.พ.นิวยอร์คไทม์ หรือที่นายวิลเลี่ยม พีส เขียนไว้ในรายงานข่าวของ น.ส.พ.ซิดนี่ย์มอร์นิ่งเฮรัลด์)* (5) ล้วนยืนยันว่าทักษิณอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก ๒ ปีจากคดีคอรัปชั่น
ก็ควรที่จะฟังเจ้าตัวเขาให้ข้อแก้ต่างไว้ด้วยว่า สาเหตุที่หลบหนีเพราะการตัดสินคดีกระทำโดยลักลั่นลำเอียง*(6)
ผู้เขียนข่าวทั้งของนิวยอร์ค และซิดนี่ย์ควรที่จะให้รายละเอียดด้วยว่าความเป็นมาทางการเมืองไทยเป็นเช่นไร จึงทำให้ทักษิณปฏิเสธคำตัดสินของศาลอาญาคดีการเมือง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการอ้างความข้างเดียว และแสดงความไม่รับผิดชอบดังที่อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ เขียนบทความโต้แย้งคริส เบเกอร์ว่า พวกที่อ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เกี่ยวกับประเด็นทักษิณอย่างเดียว เป็นพวกที่ดูถูกประชาชนเป็นเด็กไร้เดียงสา*(7)
เป็นที่น่าสังเกตุว่าพวกที่ออกมาตีโพยตีพายว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เกี่ยวกับทักษิณล้วนๆ ได้แก่คณะเทพประทานของนายอภิสิทธิ์ กับผู้ที่แสดงตนเชิดชูราชบัลลังก์อย่างสุดโต่งพร้อมๆ ไปกับอุ้มสมพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในที หรือพวกอ้างตนเป็นสีขาวหม่นปนชมพูซีดและฟ้าสางที่เสื้อแดงเรียกว่า สลิ่ม
นับเป็นการรับลูกกันอย่างคล้องจอง ลงร่องเดียวกับที่ ผบ.ทบ. บูรพาพยัคฆ์ได้ราดน้ำมันเรื่องความจงรักภักดีอย่างชุ่มฉ่ำไว้แล้ว รอให้ใครสักคนจุดประกายไฟ
ซ้ำร้ายนายอภิสิทธิ์กระทำเหมือนยั่วยุเมื่อประกาศจะไปตั้งเวทีหาเสียงที่ราชประสงค์ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน เป็นผลให้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. ออกมาท้วงว่าจะไปเหยียบย่ำศพหรือไร อดีตนายกฯ เทพประทานกลับย้อนด้วยคำเท็จอีกว่าพื้นที่ราชประสงค์ไม่มีใครเสียชีวิต เพราะเจ้าหน้าที่ไม่เคยไปสลายพื้นที่การชุมนุม ก็เลยถูกจับเท็จคาหนังคาเขาโดยเว็บไซ้ท์ไทยอีนิวส์นำภาพคนนอนตายที่หน้าเซ็นทรัลเวิร์ลหลังจากการเข้ากระชับพื้นที่ของทหารมาตีพิมพ์*(8)
รวมความว่ากลยุทธที่คณะอภิสิทธิ์เทพประทาน สลิ่มแก้วสรร-หมอตุลย์ พันธมิตรเหลือง-ฟ้า และทหารเสือตะวันออก ร่วมกันโหมเรื่อง ล้มเจ้า และ เผาเมืองนำร่องไปสู่การเลือกตั้ง ๓ กรกฎาคมนั้น ไม่เพียงป้ายสี และก่อกวนให้บรรยากาศขุ่นเคืองคลุ้มคลั่ง หวังผลว่าถ้าเกิดความวุ่นวายคณะทหารจะได้เข้าไปควบคุมชีพจรการเมืองอีกครั้งหนึ่ง
หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นการแปะป้าย เปิดช่องเอาไว้ เป็นการบีบคั้นกลายๆ ว่าต้องยอมรับพรรคที่ได้คะแนนอันดับสองช่วงชิงตั้งรัฐบาลได้
เข้าทำนองปรามพรรคคู่แข่งซึ่งกำลังมาแรงควบฉิวเมื่อเข้าทางตรง และมวลชนที่สนับสนุนพรรคนั้น ว่าฐานะอันล้ำเลิศของพวกตนภายใต้สถาบัน และเคียงข้างกองกำลังติดอาวุธ ต้องไม่ถูกเพิกเฉยไม่ว่าผลเลือกตั้งจะออกเช่นไร ไม่ว่าใครเป็นเสียงข้างมาก ใครข้างน้อย เฉือนกันสูสี หรือทิ้งห่างถล่มทลาย
ผู้ออกเสียงจึงได้เห็น และได้ฟังข้อมูลอันเกี่ยวข้องถึงสถาบันกษัตริย์เปิดออกมามาสู่สาธารณะอย่างมีนัยยะสำคัญช่วงผ่านโค้งสุดท้ายนี้ ๒ อย่าง ทั้งต่อกรณีที่นิตยสารฟอร์บจัดอันดับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกติดกันมาสี่ปีซ้อน และกรณีอันเป็นที่วิพากษ์กันมากช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหมู่มวลชนเสื้อแดงว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการไทยผิดผีผิดไข้ ลำเอียงไม่เที่ยงตรงด้วยมาตรฐานซ้อน
เกี่ยวกับอันดับในนิตยสารฟอร์บนั้น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๓ โดยมีบทส่งท้ายระบุว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินของรัฐและของแผ่นดิน ซึ่งมีรัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบ โดยสำนักงานฯ เป็นผู้ดูแล
ซึ่ง ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เขียนบทความติงว่า ความจริงไม่ได้เป็นตามที่สำนักงานฯ อ้างไว้เพื่อจะแก้ต่างนิตยสารฟอร์บว่าพระราชทรัพย์ของพระเจ้าอยู่หัวฯ มิได้มากมายดังว่า*(9)
อีกกรณีเป็นพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงพระราชทานต่อคณะผู้พิพากษาซึ่งเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญานตน เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ว่า ถ้าท่านปฏิบัติดี ก็ทำให้ประเทศชาติ มีความสงบได้ เพราะว่าคนก็ต้องมีการขัดแย้งกัน ท่านต้องเป็นกลางในทุกกรณี ทั้งเวลาท่านอยู่ในโรงศาล และนอกโรงศาล”*(10)
ทั้งสองกรณีจัดว่าเป็นนิมิตหมายอันดียิ่งต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหลังเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคเสียงข้างมากสูงสุดจะได้เข้าไปเป็นรัฐบาลชุดต่อไป หรือพรรคที่มีเสียงในอันดับสองรองลงมาจะตัดหน้ารวบรวมสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งจำนวนมากกว่าร่วมกันเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลก่อน
ควรต้องถือเอาเป็นแผนปฏิบัติ หรือโร้ดแม็พ จัดทำให้เป็นความสำเร็จอย่างจริงจัง
หนึ่งนั่นคือสนองคำยืนยันของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ว่าสำนักงานฯ นี้เป็นของรัฐ และของแผ่นดินในรูปธรรมชัดเจน ที่ประชาชนทั้งมวลสามารถมองเห็นเส้นทางเดินของเงินตรา และทรัพย์สินต่างๆ ในครอบครองของสำนักงานฯ ผ่านเข้า และผ่านออกระหว่างรัฐ แผ่นดิน และประชาชนอย่างแจ่มแจ้ง และจริงจัง
ส่วนกรณีที่สองนี่สำคัญมากที่รัฐบาลใหม่จักได้รับสนองพระบรมราชโองการอย่างเต็มภาคภูมิ คือมิเพียงแต่การแถลง และอ้างอิงพระราชดำรัสเช่นที่ผ่านๆ มา หากแต่มีการกำหนดกฏระเบียบ และมาตรการให้ผู้พิพากษาทั้งหลายได้มีโอกาศ เป็นกลางในทุกกรณี โดยปราศจากมือที่มองไม่เห็น หรืออำนาจนอกราชการมาชักใยให้ไขว้เขวได้อีก
สำหรับหนทางปรับแต่งให้ผู้พิพากษาทั้งหลายที่น่าจะเป็น คนดี กันอยู่แล้ว เป็นคนดีจริงๆ ในรูปธรรม ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ผู้เขียนใคร่นำหลักการที่มีผู้เสนอเอาไว้แล้วมาแนะซ้ำ ด้วยเห็นว่าจะเป็นหลักการอันเหมาะสมอย่างยิ่งต่อครรลองการเมืองประชาธิปไตย
ในชั้นต้นนี้ก่อนที่จะมีการปฏิรูปไปถึงขั้นใช้ระบบลูกขุนอันเป็นหลักการซึ่งต่างจากธรรมเนียมปฏิบัติของไทยอันฝังแน่นมาช้านาน ก็คือเพียงปรับให้การแต่งตั้งผู้พิพากษาผ่านการรับรองของประชาชน หรือจากตัวแทนที่ประชาชนเลือกตั้ง ซึ่งก็คือรัฐสภาเสียก่อน
อย่างน้อยเป็นการเตือนจิตสำนึก หรือเม็นแทลิตี้ของท่านผู้ทรงเกียรติ และทรงความดีแบบไทยๆ ทั้งหลายว่า พวกท่านมีกินมีใช้จากรายได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของประชาชนทุกผู้ทุกนาม ที่เจียดให้แก่ท่านในรูปของภาษีอากร

*(1)นายจาตุรนต์ ฉายแสง แถลงข่าวที่โรงแรมโกลเด็นทิวลิป พระรามเก้า ตอนหนึ่งกล่าวว่า จริยธรรมสำหรับ ผบ.ทบ. ในระหว่างการเลือกตั้ง คือต้องไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทางการเมือง...นี่คือจริยธรรมทางการเมืองของ ผบ.ทบ. ที่พึงมีในระบอบประชาธิปไตย http://www.youtube.com/watch?v=cBwqrUQh57c&feature=player_embedded
*(2)ดูรายละเอียดที่ http://www.internetfreedom.us/thread-28580.html 
*(3) http://www.ft.com/Abhisit warns of threat to Thai Stability 
*(4) นางจิตรา คชเดช ผู้นำแรงงานไทรอัมพ์ไปเขียนป้าย ดีแต่พูด ยกประท้วงนายอภิสิทธิ์ระหว่างปราศรัยจนกลายเป็นประเด็นให้สื่อต่างประเทศนำไปวิจารณ์การเมืองไทย ดูhttp://asiancorrespondent.com/he's-only-good-at-talking
*(5) http://www.nytimes.com/Seth Mydans และ http://www.smh.com.au/William Pese 
*(6) ตามรายงานเข้ากระทรวงในปี ๒๕๕๑ ของนายแอริค จอห์น เอกอัคราชทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่ถูกเปิดเผยโดยวิกิลี้คระบุว่า “Thaksin allies have complained to us repeatedly that the judiciary is biased against them.” รายงานฉบับเดียวกันยังเอ่ยถึงด้วยว่าในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาได้เห็นกระบวนการยุติธรรมของไทยเข้าไปเป็นฝักฝ่ายในทางการเมือง โดยที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ที่ร่างขึ้นโดยกลุ่มคนที่คณะรัฐประหาร ๒๕๔๙ แต่งตั้งก็เพิ่มบทบาทให้อำนาจแก่ตุลาการในทางการเมืองอย่างมากมายhttp://www.zenjournalist.com/2011/06/08bangkok3289/

No comments:

Post a Comment