: วิพากษ์พิภพ ธงไชย "โหวตโน"
ผมเกิดอาการแบบที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Writer block มาเป็นเวลาครึ่งเดือน ก็เพราะการเมืองได้คืบเข้าสู่มิติเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นความหวังในการเยียวยาอาการหมองหมางของประชาชนจำนวนหนึ่งที่ทั้งถูกฆ่า และถูกย่ำยีสิทธิเสรีในการเลือกผู้ปกครองของตน
พูดอย่างสำนวนไพร่ๆ ได้ว่าเป็นอาการ “ใบ้แดก” ชั่วครั้ง ก็เลยไม่อยากเขียนอะไรให้เป็นการเอาเบื้องหน้าของบาทาไปราน้ำ
มิหนำซ้ำฝ่ายกระทำทั้งหน่วยทหาร และรัฐบาลเทพประทานยิ่งรุกล้ำค้ำคอหนักข้อเข้าไปอีก ไหนจะยัดความผิดอาญามาตรา ๑๑๒ ต่อคนเก่งปากกล้าของเสื้อแดง ตั้งแต่จับสมยศ พฤกษาเกษมสุข เรียกตัว ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลไปรับข้อหา มาถึงถอนประกันจตุพร พรหมพันธุ์ กับนิสิต สินธุไพร
ไหนจะมีทหารลงพื้นที่นำร่องเลือกตั้ง กระชับพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์ และไหนจะใช้ กอ. รมน. ขี่คอมวลชนจัดตั้งเข้าไปยึดป่าเฉลิมพระเกียรติจนเกิดการปะทะ ทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บไปเกือบสิบ
ล้วนแล้วแต่เป็นการขึงลวดหนามสกัดกั้นหนทางไปสู่ “ประชาธิปไตยแท้จริง” ด้วยวิธีการด้านได้อายอดเพื่อชุบตัวเอาความชอบธรรมทางการเมือง หลีกลี้การรับผิดฐานฆาตกรรมต่อฝูงชน ภายใต้มายาคติของการเลือกตั้ง
แต่ครั้นได้อ่านบทสัมภาษณ์นายพิภพ ธงไชย หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์คัดลอกจากไทยโพสต์ แท็ปลอยด์มาเสนอซ้ำ อาการใบ้ก็เกิดอันตรธานหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยจำต้องมีปฏิกิริยาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อที่ “พี่เปี๊ยก” ของนักกิจกรรมหลายๆ คน จะได้ไม่หลงเลือนไปมากกว่านี้ จนสำคัญผิดคิดว่าตนคือผู้ชี้นำทางออกประเทศไทย
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่าปฏิกิริยาของผู้เขียนนี้มีกับแนวความคิดเห็นของพิภพที่แสดงออกมาในการให้สัมภาษณ์แก่ไทยโพสต์โดยเฉพาะ ผู้เขียนไม่ได้รู้จักมักจี่พิภพมากไปกว่าการที่ท่านโด่งดังขึ้นมาในสายเอ็นจีโอด้วยผลงานก่อตั้งหมู่บ้านเด็กแบบ “ซัมเมอร์ฮิลส์” ที่กาญจนบุรี
แล้วเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นนักปฏิรูปทางการเมืองในแนวคิดแบบคนดีมีปัญญาสายของ นพ.ประเวศ วะสี
แต่การปฏิรูปของพิภพนั้นไม่เอาระบบเลือกตั้ง ดังที่เขาตอบผู้สัมภาษณ์ว่า “ไม่ยอมรับแต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ต้องใช้คำนี้” ที่ไม่ปฏิเสธเพราะต้องการใช้เป็นสะพานไปสู่สิ่งที่เขาเสนอ ซึ่ง “ก็ใช้โอกาสในการเลือกตั้งครั้งนี้ ดูสิว่าเสียงที่ต้องการปฏิรูป และไม่เอาทั้งสองฝ่ายมีแค่ไหน ถ้าออกมาน้อย แน่นอนการปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้น”
นอกจากนั้นการปฏิรูปของพิภพยังไม่ใช่สิ่งตายตัว มันเป็นเพียงตุ๊กตาตั้งดังตุ๊กตาหลายๆ ตัวของพันธมิตรฯ ที่ตั้งขึ้นมาตามอารมณ์ (หรือตามธงก็ได้) พอทำท่าจะไปไม่รอดก็สลัดทิ้ง เข้าทำนอง “ลองผิดลองถูก” ที่พิภพอ้างเป็นสรณะ ดังที่เขาใช้อธิบายการลองผิดในเรื่องการตั้งวุฒิสมาชิกโดยสรรหา และการให้อำนาจแก่องค์กรอิสระที่เขาบอกว่าเคยเห็นด้วย พอรู้ว่าลองผิดก็เลยคิดล้างไพ่สร้างรัฐธรรมนูญใหม่
การเมืองไทยที่ผิดผีผิดไข้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๙๐ และคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ที่โหยหาประชาธิปไตยมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ นับแต่สองเหตุการณ์เดือนตุลาปี ๑๖ และ ๑๙ ผ่านเดือนพฤษภา ๓๕ และเมษา ๕๒ มาถึงเมษา-พฤษภา ๕๓ สำหรับพิภพ และพวกดูเหมือนจะมีไว้ลองเล่นทฤษฎีของผู้ดีมีปัญญาเท่านั้น
ดังนั้นการปฏิรูปที่พิภพเสนอจึง “อาจจะเกิดและไม่เกิดนะ และมันอาจจะอีกหลายยก ไม่ได้หมายความว่าโหวตโน วันนี้เสร็จก็จะหมดภารกิจ” ดังคำพูดของเขา
สิ่งที่พิภพ และพวกในบทนักปฏิรูปเรียกร้องจากคนอื่นๆ ให้ทำตามเป็นแนวทางที่ขาดลักษณะหลักการที่ดีของความสมเหตุสมผล นอกจากบอกให้โหวตไม่เอาอะไรสักอย่างเพียงหวังว่าจะไปสู่การปฏิรูปแล้ว ยังเป็นข้อเสนอปฏิรูปที่หวังผลไม่ได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ด้วย
ตลอดทั้งหมดของการตอบสัมภาษณ์อันยาวเหยียดต่อคำถามอันรุกเร้าของรุ่นน้อง พิภพยืนยันจุดยืนในการรณรงค์ “โหวตโน” คือการไปเลือกตั้ง แต่ให้กาช่อง “ไม่เลือกใคร” โดยเหมาเอาว่านั่นเป็นการเลือกปฏิรูป ทั้งนี้โดยมีสองสมุฏฐานเป็นหัวใจสำคัญ นั่นคือต่อต้านทักษิณ ชินวัตร หนักหน่วงอย่างหนึ่ง กับเชิดชูพันธมิตรฯ เหนียวแน่นว่าเป็นผู้ชี้นำสังคมอีกอย่างหนึ่ง
โดยมิพักที่จะตระหนัก หรือยอมรับต่อข้อเท็จจริงที่ผู้สัมภาษณ์พยายามชี้ให้เห็นว่าในสภาพแวดล้อมของกรณีแรกนั้นกำลังได้รับความนิยมจากประชาชนจำนวนมากขึ้นทุกที ขณะที่สิ่งซึ่งรายล้อมกรณีหลังอยู่ (รวมทั้งตัวพิภพเอง) กลับถดถอยลงไปแทบจะสิ้นไร้เสียแล้ว
ว่ากันอย่างจะจะแบบพวกไพร่ตั้งวงวิจารณ์ก็ได้ว่า พิภพทำตัวเป็นคนดีมีปัญญาผู้ชี้นำสังคมแบบหมอประเวศ และตอบคำถามโดยเอา “ความฝันอันสูงสุด” ของตนเองเป็นที่ตั้ง แถมทำแชเชือนก้าวข้าม ๙๓ ศพประชาชนที่ถูกเข่นฆ่าโดยทหาร และหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ข้ออ้างของพิภพที่ว่าแกนนำพันธมิตรฯ มีหลากหลายความคิด จึงได้เกิดการกระทำที่ระส่ำบางอย่าง อีกทั้งมีการกลับลำหลายครั้งจนกระทั่งกลายเป็นข้อวิพากษ์ว่า “กัดกันเอง” เพราะผลประโยชน์หดไปนั้น คงจะไม่ช่วยทำให้การชี้นำของพิภพติดตลาดได้ แม้ว่าจะยังคงทำให้เขา และพวกลอยตัวต่อไปก็ตาม
สิ่งที่พิภพพูดกับไทยโพสต์ หลังจากโรจน์ งามแม้นถูกสนธิ ลิ้มทองกุลจวกแหลกไปไม่นาน คงไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่สมศักดิ์ โกศัยสุข แลกหมัดกับสนธิ หรือที่สุริยะใส กตะศิลา พยายามแถกแถว่าพรรคการเมืองใหม่ไม่ได้ตั้งมาเพื่อแข่งเลือกตั้ง ท่ามกลางการดิ้นพลาดฟาดหางในหมู่พันธมิตรฯ
นั่นคือต่างคนต่าง “ขายผ้าเอาหน้ารอด” กันจ้าละหวั่นเท่านั้นเอง
สำหรับพิภพนั้นพยายามอย่างเหลือเกินที่จะบอกว่าการโหวตโนของเขาหมายถึงการเลือกหนทางปฏิรูป และไม่เลือกพรรคการเมืองใดเลย (แต่ก็ขอให้เลือกแนวทางพันธมิตรฯ* ในภาวะที่พรรคการเมืองใหม่ขอเว้นวรรคทั้งๆ ที่ยังไม่เคยลงสนาม)
แม้ว่าผู้สัมภาษณ์พยายามชี้แล้วชี้อีกว่าคนเสื้อแดงเขาก็ต้องการปฏิรูป แต่เขาจะโหวตให้เพื่อไทยเข้าไปงัดข้อกับอำนาจนอกระบบ จะได้ทำการปฏิรูปได้
ทว่าพิภพก็ยังอดตะแบงต่อไปไม่ได้เช่นกันว่า “ถามหน่อยเถอะว่ามวลชนเสื้อแดงหรือมวลชนพันธมิตรฯ มีสิทธิบอกให้ทุกคนในประเทศไทยคิดเหมือนตัวเองไหม ไม่มีนะ แต่ตัวเองมีสิทธิที่จะเสนอความคิด ถ้าสังคมยอมรับก็จะเคลื่อนไปทางนั้น อันนี้เป็นการสู้กันทางความคิด แต่อย่ามาใช้ความรุนแรงนะ อย่ามาใช้การบังคับนะ”
พิภพพูดบ่อยครั้งโดยอ้างถึงเสื้อแดงว่าใช้ความรุนแรง ดังเช่นเมื่อผู้สัมภาษณ์บอกว่า “เสื้อแดงเขาก็กำลังปลุกให้สู้กับระบบอุปถัมภ์อยู่” พิภพย้อนว่า “ก็ดี แต่อย่าทำเกินเลยไปจนกระทั่งทำให้เกิดความรุนแรงก็แล้วกัน” และว่าแกนนำ “ทำให้เกิดความเกลียดชัง และทำให้นำไปสู่การใช้ความรุนแรง”
จะให้หมายความว่าเป็นความผิดของผู้ที่ถูกเกลียดชัง ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นด้วยการที่พวกเขาถูกเข่นฆ่า นี่เป็นตรรกะของคนดีมีปัญญากระนั้นหรือ
มันคือมิจฉาทิษฐิของพิภพที่พยายามยัดเยียดให้เสื้อแดงเป็นผู้ก่อความรุนแรงทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงที่พิภพทำเมินก็คือ ทหาร กับรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นผู้ใช้ความรุนแรงเข่นฆ่าประชาชน รวมทั้งการ “เผาบ้านเผาเมือง” ที่นักเลือกตั้งของประชาธิปัตย์ใช้อ้างกันด้วย ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าหากฝ่ายเสื้อแดงมีโอกาสได้นำพิสูจน์ก็จะพบความจริงดังว่า
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ใช้เวลามาเป็นปีมะงุมมะงาหราหาทางเลี่ยงบาลีในเรื่องนี้ จึงน่าตั้งข้อกังขากับพิภพได้บ้างไหมว่าเขาให้ท้ายปชป. เลยพลอยทำลอยตัวข้าม ๙๓ ศพไป โดยเฉพาะเกรงใจทหารจากการที่ในช่วงตั้งเนื้อตั้งตัวสร้างหมู่บ้านเด็ก พิภพเคยได้รับการอุปถัมภ์จากทหารในบางส่วนด้วยเหมือนกัน
ผู้เขียนไม่คิดจะกล่าวหาว่าพิภพด้อยปัญญาด้วยศรัทธาบอด คำตอบสัมภาษณ์ของเขาอีกตอนหนึ่งบ่งชัดว่าเขารู้อะไรเป็นอะไร ดังที่ว่า
“เหมือนกรณีเสื้อแดง ผมก็รู้จักคนเสื้อแดงเยอะ เขาไม่ได้ยอมรับในการนำบนเวทีหมด แต่เขาเห็นว่ายุทธศาสตร์ใหญ่ของเขาคืออะไร และเขาเห็นร่วมกัน และผมมั่นใจว่ายุทธศาสตร์ใหญ่ของมวลชนเสื้อแดงคือปฏิรูป ไม่เชื่อพิสูจน์ในอนาคต ปฏิรูปเรื่องความเหลื่อมล้ำเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม หลายคนในเสื้อแดงก็ไม่เห็นด้วยที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้โดยเอาทักษิณมาเป็นตัวประกัน แต่ผมคิดว่าเขาใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ จะสำเร็จไม่สำเร็จนั่นอีกเรื่องหนึ่ง”
แต่พิภพเลือกที่จะยึดมั่นกับศรัทธาในแบบของ “คนดีมีปัญญา” อันตรงกันข้ามกับแบบที่พวกเสื้อแดงเรียกว่าเป็นสิ่งที่ถูกบิดเบือนหายไปจากสิทธิเสรีพื้นฐานของ “ไพร่รากหญ้า”
เขาพูดถึงสถาบันกษัตริย์ว่า “ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกันแต่เป็นประมุข แล้วไปดูได้เลยในรัฐธรรมนูญองค์พระมหากษัตริย์ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมายนะ แยกระหว่างอำนาจกับบารมีนะ”
ทำไมพิภพจึงคิดว่าคนเสื้อแดงเขาแยกแยะไม่เป็นระหว่างอำนาจกับบารมีเล่า เพราะเขาไม่ใช่คนดีมีปัญญาหรือไร และทำไมพิภพไม่ยอมพูดถึง (หรือว่าไม่รู้จัก) อำนาจนอกระบบ กับมือที่มองไม่เห็น ไม่ใช่สองสิ่งนี้ละหรือที่ทำให้ความหมายของบารมีต้องเสื่อมทรามลงไป
ในประเด็นการปฏิรูปกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ก็เช่นกัน ฟันธงได้เลยว่าพิภพพูดว่าเห็นด้วยกับการปฏิรูปสถาบันอย่างเสแสร้ง ดังที่เขาบอกว่า “คดีที่เข้าสู่ศาลนิดเดียว การวิพากษ์วิจารณ์เต็มไปหมดทั้งเมือง” และ “พวกที่โดนก็อย่ามาโอดครวญ ในเมื่อคุณกล้าที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต้องกล้าที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยง อย่ามาเจ้าน้ำตา”
ครั้นหันไปดูสิ่งที่พิภพยกตัวอย่างมาก่อนหน้านั้นว่า “พวกผมก็ถูกคดีเยอะแยะเลย ไม่เห็นคุณมาเห็นใจเลย และคดีเรื่องนี้คุณสนธิก็โดนด้วย” จึงได้เห็นถ่องแท้ว่าพวกของพิภพ อาทิ สนธิ ลิ้มทองกุล และสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ล้วนได้รับประกันตัวอย่างรวดเร็ว และลอยชายกันอยู่ ขณะที่สุรชัย สมยศ จตุพร นิสิต ดารุณี โชติศักดิ์ สุชาติ ธันย์ฐวุฒิ และอีกหลายคน บ้างถูกห้ามประกัน บ้างตัดสินรวดเร็วแต่จำคุกยาวนาน
เช่นนี้ทำให้อยากรอดูเมื่อไรพวกพันธมิตรฯ ได้รับความเป็นธรรมถูกดำเนินคดีปิดสนามบิน ฯลฯ และมีการตัดสินรวดเร็วแต่โทษยาวนานบ้าง คงได้ชื่นชมความไม่เจ้าน้ำตาของพิภพ
* คำพูดของพิภพตอนหนึ่งว่า “เดิมที Vote No ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิรูปแต่วันนี้เราต้องการให้เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิรูป” ใน โหวตโนเพื่อปฏิรูปการเมือง
No comments:
Post a Comment