อ่านตูนิเซีย ๒
สถานการณ์ในตูนิเซียเป็นที่สนใจของผู้รักประชาธิปไตยชาวไทยจำนวนไม่น้อย ส่วนหนึ่งเห็นจะเป็นเพราะประชาชนตูนิเซียได้ลุกฮือขึ้นขับไล่ผู้เผด็จการครองเมืองในคราบประชาธิปไตยที่เกาะกินบนหลังประชาชน เก็บเกี่ยวความมั่งคั่งให้แก่ครอบครัว และบริวารติดต่อกันมาเกือบสามสิบปี
แล้วปรากฏผลว่าการลุกฮือนั้นประสพความสำเร็จ ท่ามกลางการเสียชีวิตของคนที่ออกไปประท้วงโดยพร้อมใจ และไร้การนำจำนวนไม่น้อยกว่า ๖๐ ราย ประธานาธิบดีเบ็น-อาลีผู้ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้วยังมีทีท่าว่าจะใช้วิชามารบิดพริ้วรัฐธรรมนูญเพื่อยืดอำนาจของตนออกไปเมื่ออายุครบ ๗๕ ปีในปีหน้าตามที่รัฐธรรมนูญระบุว่าไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ท้ายที่สุดจำต้องระเห็ดออกนอกประเทศไปอาศัยพักพิงอยู่ในซาอุดิ อาราเบีย
ประชาชนตูนิเซียซึ่งส่วนใหญ่กว่าครึ่งประเทศเป็นคนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าไม่ถึงสามสิบปีต่างแซ่ซร้องในชัยชนะที่พวกตนเรียกว่า “การปฏิวัติดอกมะลิ” (Jasmine Revolution) อันถูกจุดระเบิดจากการเผาตัวตายของหนุ่มวัย ๒๖ ปี ผู้มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแต่ต้องทำมาหากินด้วยการเข็นรถขายผลไม้ แล้วยังถูกตำรวจยึดไปในข้อหาไม่มีใบอนุญาติ ครั้นเขาไปร้องเรียนกลับถูกเจ้าหน้าที่สตรีนางหนึ่งตบหน้าเอา
ความคับแค้นถูกถ่ายทอดกันต่อๆ ไปบนหน้าเฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ ทำให้คนหนุ่มสาวที่ส่วนใหญ่เรียนจบมหาวิทยาลัยแต่ตกงานพากันออกมาประท้วงตามท้องถนนอย่างกว้างขวางดังปฏิกิริยาลูกโซ่ และภายในระยะเพียงเดือนเดียวกลับกลายเป็นการปฏิวัติโค่นล้มผู้เผด็จการในคราบประมุขสูงวัยของบ้านเมืองได้
อีกทั้งยังเกิดแรงสั่นสะเทือนไล่หลังไปถึงประเทศอาหรับใกล้เคียงที่ปกครองแบบมีรัฐสภา แต่ว่าประมุขรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้คนเดียว (Autocracy) นับแต่อัลจีเรีย ลิเบีย เยเมน และอียิปต์ ไปจนถึงจอร์แดน ที่ซึ่งคนหนุ่มคนสาวในประเทศเหล่านั้นทวี้ตกันขรมว่าตูนิเซียโมเดลกำลังจะไปถึงประเทศตนบ้าง ในอียิปต์มีทวิตเตอร์ชิ้นหนึ่งเขียนถึงประธานาธิบดีว่า “มูบารัคเตรียมตัวได้แล้ว เครื่องบินรอท่านอยู่”
แต่กระนั้นการปฏิวัติดอกมะลิของชาวตูนิเซียก็ยังเป็นที่กังขาของนักหนังสือพิมพ์ในประเทศตะวันตกที่คุ้นเคยกับสภาพสังคมการเมืองในตูนิเซีย เนื่องจากการปฏิวัติโดยไร้การจัดตั้ง และขาดแกนนำพลังประชาชนเช่นนี้ มักก่อให้เกิดช่องว่างของอำนาจที่สุ่มเสี่ยงต่อการฉกฉวยกินหัวปลามันของนักเผด็จการรุ่นต่อไป
ขณะเขียนบทความนี้สถานการณ์ในนครตูนิสศูนย์กลางของการลุกฮือ และการเปลี่ยนผ่านอำนาจยังอยู่ในความไม่สงบ กองกำลังรักษาความเรียบร้อยอันรวมถึงหน่วยแม่นปืน หรือสไน้เปอร์ที่คุ้มครองกระทรวงมหาดไทยยังคงยิงใส่ผู้ประท้วงลงมาจากยอดตึก
แม้ว่านายกรัฐมนตรีโมฮัมเม็ด กานนุสชี ที่เข้ารับช่วงรักษาการแทนหลังประธานาธิบดีระเห็ดออกนอกประเทศได้ประกาศมอบหมายอำนาจต่อให้แก่ประธานรัฐสภาเฟาอัด เมบาซ่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพราะตนถูกโจมตีว่าเป็นสมุนของประธานาธิบดีก็ตาม
แต่การเลือกตั้งที่ประธานสภายืนยันว่าจะจัดให้มีขึ้นภายใน ๖๐ วัน ยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครที่โดดเด่นเป็นที่ยอมรับของประชาชนพอทำให้ผลลัพท์ของการลงคะแนนเป็นไปอย่างราบรื่น และนำไปสู่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงที่มีเสถียรภาพได้ ในเมื่อนักการเมืองทั้งหลายในขณะนี้ล้วนมีสายใยผูกพันกับอดีตผู้เผด็จการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และภาคประชาชนที่พร้อมใจกันออกมาประท้วงจนสำฤทธิ์ผลเป็นการปฏิวัตินั้นก็ไม่ปรากฏเลยว่ามีใครเป็นผู้นำ
ตัวเลือกที่จะเสนอตัวเข้าไปเป็นผู้นำต่อไปเวลานี้มีแต่อดีตนักการเมืองฝ่ายค้านบางคนที่ต้องลี้ภัยออกไปอยู่ในฝรั่งเศส และอังกฤษ ดังเช่น ราชิด อัล-กานนูชี อดีตหัวหน้าพรรคยุคทอง (Renaissance Party) ซึ่งประกาศทันทีว่าจะเดินทางกลับไปรับเลือกตั้งหลังจากที่ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษมา ๒๒ ปี
นอกนั้นก็เหลือแต่ผู้นำฝ่ายทหารที่ไม่เคยมีบทบาทเด่นมาก่อนเนื่องจากถูกบดบังโดยกองกำลังรักษาความสงบของประธานาธิบดี แต่เพิ่งมาแตกแถวเมื่อการประท้วงแผ่ขยายไปกว้างขวาง และรุนแรงขึ้น หนึ่งวันก่อนที่เบ็น-อาลีจะตัดสินใจหนีนั้น นายพลราชิด อัมมาร์ ผู้บัญชาการกองทัพบกแสดงตนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประมุขชัดเจนด้วยการไม่ยอมสั่งให้ทหารยิงใส่ผู้ประท้วงตามที่ประธานาธิบดีต้องการ
สี่วันให้หลังการจากไปของเบ็น-อาลี กองทัพบกนำกำลังกลับออกมาช่วยควบคุมสถานการณ์ และมีข่าวว่าเกิดการปะทะกับกองกำลังของประธานาธิบดีด้วย อีกทั้งยังประกาศสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลสมานมิตรของประธานรัฐสภา และนายกรัฐมนตรีที่คาดว่าจะนำฝ่ายค้านเข้าร่วม
ตัวนายพลอัมมาร์นั้นยังเก็บตัวเงียบไม่แสดงบทบาทใดๆ ออกนอกหน้า แต่เชื่อกันว่าเขาอาจมุ่งหมายตำแหน่งผู้นำในอนาคตก็ได้ เพราะมีการเปิดหน้าเฟซบุ๊คเชียร์ให้เขาเป็นประธานาธิบดี ขณะนี้มีคนเข้าไปกดว่าชอบเกือบ ๒ พันรายแล้ว
นี่เป็นจุดที่นักสังเกตุการณ์ตะวันตกห่วงใยว่า ในสภาพไร้การนำของพลังประชาชนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างนี้ ความหวังในประชาธิปไตยแท้จริงอาจจะถูกช่วงชิงโดยนักเผด็จการจำบังที่แฝงมาในคราบของอัศวินม้าขาวก็ได้
พลังประชาชนตูนิเซียน่าจะหันมาศึกษาตัวอย่างจากประเทศไทย ที่หัวเลี้ยวหัวต่อไปสู่ประชาธิปไตยต้องล่มสลายเพราะสำคัญผิดในตัวขุนทหารอัศวินม้าขาว คนแรกก็คือวีรบุรุษสะพานมัฆวานที่ไปยืนข้างนักศึกษา และประชาชนช่วยโค่นล้มจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่แล้วประชาชนไทยกลับได้จอมเผด็จการผ้าขะม้าแดง สฤษดิ์ ธนะรัชต์
อีกครั้งหนึ่งก่อนเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เชื่อกันว่าพล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ยืนอยู่ข้างขบวนการนักศึกษา และเตรียมพร้อมจะปฏิวัติช่วงชิงอำนาจจากกลุ่มของเผด็จการถนอม-ประภาสขณะนั้น แต่ก็ถูกตัดขาเค้นคอด้วยข้าวเหนียวทุเรียนเสียก่อน เปิดทางให้ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง และนวพล พร้อมด้วยตำรวจชายแดนยกกันเข้าฆ่าหมู่นักศึกษาแก้เคล็ดนำร่อง
ตามด้วยการปฏิวัติที่ใช้พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวเชิด ก่อนที่จะมอบหมายนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรีตั้งรัฐบาลหวังอยู่ยาว ๑๒ ปี อ้างว่าจะสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆ แต่ก็ดันทุรังไปไม่ได้ ท้ายสุดมาตกอยู่กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่บอกว่าขอเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบอยู่ได้ยาวแปดปี เมื่อเต็มกลั้นแล้วจึงขยับย้ายเข้าไปเป็นประธานองคมนตรีจนกระทั่งบัดนี้
ในทางกลับกัน สิ่งที่พลังประชาชนในประเทศที่มีผู้ปกครองแบบ Autocrat หรือจ้าวเหนือหัวจะเรียนรู้ได้จากตูนิเซียประการหนึ่งก็คือ ผู้ปกครองที่ใช้วงวานว่านเครือของตนกวาดเก็บ และกอบโกยโภคทรัพย์ศฤงคารเกือบทั้งประเทศนั้นไม่มีทางที่จะคายคืนได้ง่ายๆ
ยิ่งตนเองเป็นไม้ใกล้ฝั่งก็ยิ่งยากที่จะควบคุมบริวารให้อยู่ในกรอบของความเพียงพอได้ ทางเดียวที่ผู้เผด็จการเช่นเบ็น-อาลีจะรู้ตัวยอมจำนนก็ด้วยการลุกฮือโดยพร้อมเพรียงของประชาชนเท่านั้น
อีกประการหนึ่งที่เห็นชัดจากกรณีตูนิเซียอยู่ที่แรงสนับสนุนจากประเทศประชาธิปไตยที่ทรงอิทธิพลในตะวันตก ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ซึ่งทราบดีถึงสภาพเหลื่อมล้ำ และบิดเบือนประชาธิปไตยในประเทศอาฟริกาเล็กๆ แห่งนี้ แต่ก็ทำแชเชือนเสียตลอดเวลานับสิบปีที่ผ่านเพราะผลประโยชน์ที่ผู้ปกครองให้มากกว่า
กรณีของสหรัฐในฐานะที่ตูนิเซียเป็นประเทศอาหรับที่ช่วยต่อต้านขบวนการก่อการร้ายนานาชาติเช่นอัลไคดาห์อย่างแข็งขัน สาส์นอีเมลทางการทูตเล่าภาวะกดขี่ประชาชนจึงถูกมองข้ามจนกระทั่งวิกิลี้คนำมาเปิดโปง และจุดชนวนการปฏิวัติของประชาชนขึ้น นั่นแหละที่ทำให้ทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ นางฮิลลารี่ คลินตัน และประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า หันมากล่าวสนับสนุนพลังประชาชนในที่สุด
นางฮิลลารี่ คลินตันเรียกร้องต่อรัฐมนตรีต่างประเทศตูนิเซียให้รับฟังเสียงประชาชนต่อความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางเศรษฐกิจ อิสรภาพของมหาชน และจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย ส่วนประธานาธิบดีโอบาม่าออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรง และเป็นสักขีพยานต่อ “การต่อสู้อันมุ่งมั่น และกล้าหาญเพื่อสิทธิพื้นฐาน” ของชาวตูนิเซีย
ด้านฝรั่งเศสนั้นในฐานะที่เคยเป็นจ้าวอาณานิคมซึ่งบรรดาผู้ปกครองของตูนิเซียได้รับการปลูกฝังทั้งการศึกษา และวัฒนธรรมกันมา คนเหล่านี้เป็นสายใยเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางธุรกิจ และการลงทุนอยู่กับฝรั่งเศสอย่างเหนียวแน่น จึงมีการตั้งใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับการคอรัปชั่น และการกดขี่สกัดกั้นเสรีภาพของประชาชนในตูนิเซีย
แม้กระทั่งสื่อสิ่งพิมพ์ของฝรั่งเศสฉบับหนึ่งยังเคยลงข้อเขียนสนับสนุนอุดมการณ์ต้านประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป ดังเช่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองบทความชิ้นหนึ่งอ้างว่าการรณรงค์แบบอเมริกาในการส่งเสริมประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องเชยไปเสียแล้ว
ข้อเขียนในหนังสือเลอ ฟิกาโรตอนหนึ่งกล่าวว่า สิทธิในการมีประชาธิปไตยนั้นไม่สำคัญเท่าสิทธิในการยึดมั่นประวัติความเป็นมาของประเทศตน นี่ถ้าเป็นในบ้านเราก็คงตรงกับคำพูดที่ว่าต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือทำนองเดียวกับนายกพระราชทาน และสูตร ๗๐-๓๐ นั่นแล้ว
แต่ครั้นเมื่อพลังประชาชนทนการกดขี่ไม่ไหวแข็งกล้าจนเกิดเป็นการปฏิวัติขึ้น นั่นแหละท่าทีของอดีตจ้าวอาณานิคมก็เปลี่ยนไป ไม่เพียงรัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธไม่ยอมให้ประธานาธิบดีเบ็น-อาลีไปลี้ภัย ต่อมายังสั่งให้สมาชิกในครอบครัวของประธานาธิบดีจำนวนหนึ่งที่ไปปักหลักพักอาศัยในโรงแรมดิสนี่ย์แลนต์ปารีสจัดการย้ายออกเสียด้วย
ไม่ว่าการปฏิวัติดอกมะลิในตูนิเซียจะมีพัฒนาการต่อไปอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเป็นอุทธาหรณ์สอนเตือนจิตสำนึกของบรรดาผู้ปกครองแบบกุมอำนาจแต่ผู้เดียวทั้งหลายว่า การสื่อสารส่งผ่านความรู้ และข่าวในหมู่ประชาชนผ่านระบบอีเล็คโทรนิคส์สมัยนี้ ทำให้ทุกพื้นที่บนโลกซึบซับเอาโลกาภิวัฒน์เข้าไว้จนอิ่มตัวโดยถ้วนทั่ว ยากที่จะปกปิด หรือบิดเบือนอยู่ได้
ที่ใดยังคงปกปิด และบิดเบือนต่อไปโดยไม่แยแสต่อความรู้สึกของประชาชน ก็เหมือนความพยายามปิดฝาสกัดกั้นไอร้อนไม่ให้เล็ดลอดออกมาได้ แรงดันสะสมจะทำให้เกิดระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงในไม่ช้า ต่างแต่ว่าจะเร็วกว่าแค่ไหนอยู่ที่อัตราอ่อนแก่ในความอิ่มตัวของไอร้อนเท่านั้น
No comments:
Post a Comment