: อ่านเอาเรื่อง
ผมได้อ่านบทความสองชิ้นภายในระยะเวลาสองสามวันก่อนและหลังการนัดพบกันของคนเสื้อแดงไม่ต่ำกว่าสามหมื่นที่แยกราชประสงค์ แล้วพากันเดินไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยปักหลักชุมนุมอภิปรายเป็นจำนวนมากกว่าเดิมเกินเท่าตัวถึงเที่ยงคืนเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๔
บทความชิ้นหนึ่งมาจากประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ (http://www.prachatai3.info/journal/2011/01/32754)
เรื่องรองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศให้สัมภาษณ์ว่า ศาลฯ ไม่สามารถเข้าไปดำเนินคดีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณีสั่งฆ่าประชาชนด้วยอำนาจตามพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเหตุการณ์วันที่ ๑๐ เมษายน ที่สี่แยกคอกวัว และวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่แยกราชประสงค์กับบริเวณใกล้เคียง ตามที่แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดินตั้งใจมอบหมายให้นายรอเบิร์ต อัมสเตอดัม ดำเนินการยื่นฟ้องได้
เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ลงนามให้สัตยาบันรับรองอำนาจศาล เพียงแต่ลงนามในพิธีสารแนบท้ายการประชุมที่กรุงโรมอย่างเดียวยังไม่เป็นผล
อีกบทความอ่านจากไทยอีนิวส์ (http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_8367.html)
เป็นของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ปัจจุบันเป็นหนึ่งในกลุ่มนักการเมืองบ้านเลขที่ ๑๑๑ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา ๕ ปี เขียนถึงการเลือกตั้งที่อาจจะมีขึ้นในประเทศไทยอย่างช้าต้นปีหน้า (๒๕๕๕) ตามกติกาที่บัญญัติไว้ในกฏหมายรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลขอแก้ไขในเรื่องเขตเลือกตั้ง แต่นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์คงเห็นว่าจะไม่ทำให้ได้เปรียบอย่างเคยจึงยังอิดเอื้อนแบ่งรับแบ่งสู้
นายจาตุรนต์เขียนไว้ว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะไม่มีความหมายอะไร “ฟันธงได้เลยว่าจะหวังให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีผลให้ประเทศก้าวพ้นวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้นั้น ต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย”
เหตุผลก็คือถ้าพรรคเพื่อไทย (ฝ่ายค้านปัจจุบันที่ผู้รัก และเรียกร้องประชาธิปไตยให้ความหวังไว้) ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์พอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะถูกผู้มีอำนาจนอกระบบ และฝ่ายทหารดำเนินการโดยอาศัยอำนาจแฝงเร้นในกติกาที่พวกเขากำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ หรือแม้แต่ใช้กำลังบังคับเช่นที่เคยทำมา สกัดกั้นไม่ให้ตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ถึงตั้งขึ้นมาก็อยู่ได้ไม่นาน จะต้องถูกโค่นล้มไปในไม่ช้าโดยกลวิธีใดวิธีหนึ่ง
บอกตามตรงว่าอ่านข้อเขียนทั้งสองแล้วเกิดความหดหู่ไปตามเนื้อหาที่ปรากฏในบทความ และรายงานข่าวนั้น
หดหู่กับอนาคตการไปสู่ประชาธิปไตยในบ้านเราถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง หดหู่กับความพยายามที่หวังผลได้เพียงริบหรี่ของแกนนำ และผู้ฝักใฝ่ใน นปช. แดงทั้งแผ่นดินซึ่งเรียกร้อง และดำเนินการต่างๆ ทั้งต่อกระบวนการยุติธรรมสากลโดยจะยื่นฟ้องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ และต่อผู้กุมอำนาจการปกครองภายในประเทศ โดยร่วมแรงร่วมใจกันชุมนุมโดยสันติ (อย่างน้อยเดือนละครั้ง) ดังเช่นเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม
หดหู่เพราะว่าทั้งเนื้อหาที่เป็นอยู่ในการเมืองไทยขณะนี้ และผลแห่งความพยายามเรียกร้องความยุติธรรมต่อการสูญเสียเลือด และน้ำตาที่ผ่านมา ล้วนแสดงให้เห็นว่าไม่มีแสงสว่างรออยู่ที่ปลายอุโมงก์เลย
ปัญหาทางการเมืองในไทยที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชงักหลายครั้งนับแต่ได้มีการเปลี่ยนระบอบปกครองจากสมบูรณายาสิทธิราชมาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญอันอำนาจอธิปไตยทั้งมวลควรจะเป็นของประชาชน นี่ก็เกือบ ๘๐ ปีล่วงไปแล้วการปกครองที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยยังวนเวียนอยู่กับการมีเผด็จการซ่อนรูป ซึ่งทหารเป็นผู้กุมอำนาจ และเกาะกินทรัพยากรภายใต้ข้ออ้างความศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำพิพัฒน์สัตยา
แถมเวลานี้มีเหลือบอำนาจฝูงใหม่ในเครื่องแบบครุยที่อ้างความจงรักภักดีเป็นอาญาสิทธิ์
ปัญหาที่คุณจาตุรนต์เรียกว่าวิกฤตินี้เป็นดั่งวัวพันหลักรัดตัวเข้าไปทุกที ไม่มีใครเข้าไปแก้เชือกที่พันอยู่นั้นเพราะหลงคิดกันว่าเชือกสนตะพายเป็นเสมือนดั่งความโอบอ้อมอารีที่คอยจูงนำทาง จนกระทั่งบัดนี้เชือกนั้นกลับพันแน่นรัดคอเสียจนหายใจไม่ออก
เว้นแต่....จะมีใครคิดได้ที่ปลายจมูกถึงทางแก้ง่ายๆ สั้นๆ เอาขวานฟันเชือกที่พันหลักอยู่นั้นให้ขาดสะบั้นเสียที
นี่เป็นทางออกสำหรับปัญหาที่คุณจาตุรนต์อ้างข้อเท็จจริงว่าองคาพยพทางการเมืองของไทยยังขัดแย้งกับการพัฒนาประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคมอยู่อีกมาก
ข้อนี้ผมยังไม่เห็นด้วยเต็มที่ว่ากระบวนการเลือกตั้ง และความพร้อมใจของผู้รักประชาธิปไตยจะสิ้นไร้ไปเสียเลยทีเดียว ที่จะไปต่อกรกับอำนาจจำบังของอภิสิทธิชนซึ่งขัดขวางประชาธิปไตย คงเป็นไปได้เฉพาะหลังเลือกตั้งครั้งต่อไปดังคุณจาตุรนต์ว่า ส่วนอีกสามปีห้าปีต่อจากนั้น ผมว่าฟันธงไม่ได้
แต่ดูเหมือนว่าคุณจาตุรนต์ก็ได้จุดประกายไฟที่ปลายอุโมงก์ไว้เหมือนกัน เมื่อเขาบอกว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งยังมีทางสร้างความเป็นธรรมให้เกิดในสังคมได้โดย “พยายามส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขกฎกติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นธรรมทั้งหลายเสีย”
พลังประชาชน (ซึ่งเขาใช้คำว่า “พลังประชาธิปไตย” อันน่าจะหมายถึง นปช. แดงทั้งแผ่นดิน) ก็ยังต่อยอดสำหรับหวังผลระยะยาวได้ด้วยการ “จัดทำข้อเสนอและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลหรือรัฐสภาในอนาคต ซึ่งสามารถใช้ผลักดันต่อไปได้ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม” คุณจาตุรนต์เติมเพิ่มอีกว่าข้อเสนอของพลังประชาธิปไตยนี้ “ยังสามารถใช้รณรงค์ให้เกิดความเข้าใจและการสนับสนุนจากประชาชนทั่วประเทศได้ด้วย”
หากแต่การรณรงค์อย่างเซม เซม ดังที่ได้ทำกันมาเป็นเวลาสิบๆ ปีแล้วได้ผลเพียงจุดประกายเท่านั้นไม่พอ สถานการณ์มันเน่าเฟะเสียจนควรต่อยอดไปด้วยว่า ต้องสุมไฟ และเร่งรัดรณรงค์ประชาธิปไตย กับความเที่ยงธรรมในสังคมในเชิงรุกจึงจะได้
เพราะการรุกเท่านั้นจะทำให้มือที่มองไม่เห็นของอสุรกายที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังข้ออ้างคุณงามความดีแบบไทยๆ หรือจริยธรรมตามประเพณี (Traditional Moral) เดือดเนื้อร้อนตัวออกมาหาทางกำจัดพลังประชาธิปไตยที่พึ่งพาจริยธรรมตามหลักสากลอีกครั้ง
ถึงจุดนี้พื้นฐานพลังประชาชนที่ถ่องแท้ต่อกระบวน และหลักการประชาธิปไตย (หมายรวมถึงอาการตาสว่างที่แพร่หลายในหมู่เสื้อแดง) จะมีมากเสียจนอำนาจแฝงเร้นเกิดความวู่วาม และเปิดช่องว่างของตนเองให้เพลี่ยงพล้ำก็ได้
อย่าลืมว่าปัจจัยเอื้ออำนวยให้อำนาจแฝงเร้นบิดเบือนประชาธิปไตย และเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยข้ออ้างจริยธรรมตามประเพณีนั้นเกิดจากการบิดพริ้วข้อเท็จจริงในแก่นแท้ของตัวบทกฏหมาย ถ้าหากคนส่วนมากที่เป็นประชาชนของประเทศมีความรู้ความเข้าใจตรงจุดนี้เสียแล้ว การบิดพริ้วโดยอำนาจนอกระบบย่อมเกิดยาก หรือกระทำไม่ได้
การโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลสามชุดที่มาจากการได้รับได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก บัดนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเกิดจากฝีมือของอำนาจนอกระบบที่ไม่ต้องการให้พลังประชาชนเข้มแข็งขึ้น เป็นเจตนาเดียวกับการคว่ำรัฐบาลยุคเปลี่ยนสนามรบเป็นตลาดการค้าของพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ด้วยข้อหาคอรัปชั่น
ผลของการยับยั้งรัฐบาลก้าวหน้าของนายกรัฐมนตรีทั้งสอง ทำให้อำนาจรวมศูนย์เบื้องหลังพลังฝ่ายทหาร และกลุ่มชนชั้นสูงผู้มีอิทธิพลทางการเมืองนับตั้งแต่องคมนตรีลงมาถึงตุลาการภิวัฒน์ และสื่อมวลชนเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ กระชับแน่น และแข็งกร้าวเทียบเท่ายุคเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขณะเดียวกันก็ยับยั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศพร้อมกันไปด้วย
เหตุวิบัติซ้ำซ้อนอันทำให้ความกินดีอยู่ดีของประชาชนต้องหยุดชะงักเช่นนี้ ยากที่จะเข้าใจได้ว่ามันเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ ไม่มีอำนาจแฝงเร้นก่อกวนอยู่เบื้องหลัง
ฉะนั้นแล้วการเดินหน้าสร้างเสริมประชาธิปไตยเพื่อสิทธิเสรีภาพอันบริบูรณ์ของประชาชน และเศรษฐกิจโลกาภิวัฒน์ไม่ใช่เรื่องรอมชอม หรือจะต้องปรองดองกับภาพลักษณ์อันสูงส่ง และยิ่งใหญ่ของใครทั้งสิ้น
สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในการปกครองประเทศให้ประชาชนมีสุข ก็คือชาวบ้านทั่วไปสามารถเลือกหาของกินให้ต้องจริต และถูกปากได้ คนทำงานหาเงินเหลือใช้แล้วอยากกินไข่ปลาคาเวียร์ให้มันสะใจสักทีก็ทำได้ ไม่ต้องจำกัดบทบาทว่าขับแท็กซี่ต้องกินหมูปิ้งรถเข็นเท่านั้นพอ (เพียง)
ฉะนี้ ในเมื่อคุณจาตุรนต์วิเคราะห์ฟันธงไปแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่มีความหมาย ไฉนเราไม่หันมาร่วมแรงกัน “ตัดเชือก” ที่พันคอวัวไว้กับหลักให้มันขาดเสียดีกว่า กงจักรปีศาจของอำนาจนอกระบบจะได้หมดไป
เมื่อตัดบ่วงที่คล้องออกไป และเปิดให้เข้าถึงบริเวณรอยบาดจากเชือกที่สนตะพายมานานหลายสิบปี สัตวแพทย์ก็จะสามารถเยียวยาแผลกลัดหนองบนคอของวัวให้หายจากความทุกข์ทรมานได้
เชือกสนตะพายวัวนี้ไม่ต่างอะไรกับตัวบทกฏหมายที่ทำให้องค์กรสากลเพื่อความยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนไม่สามารถเข้าถึง และทำการเยียวยาความเจ็บปวดรวดร้าวที่ผู้เรียกร้องความเสมอภาค และประชาธิปไตยที่รอดตาย (แต่ไม่รอดคุก) หรือสมาชิกครอบครัวของพวกเขาได้รับอยู่ขณะนี้
ต่อกรณีที่นายฮันส์ ปีเตอร์ โคล รองประธานคนที่สองของศาลอาญาระหว่างประเทศชี้แจงว่าประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันการจัดตั้งศาลนี้ ศาลจึงไม่สามารถยื่นมือเข้ามาพิจารณาคดีในไทยได้ อีกทั้งคดีสังหารเสื้อแดงที่กล่าวถึงได้มีการไต่สวนโดยกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแล้ว ศาลก็จะไม่เข้าไปก้าวล่วง
อย่างไรก็ดีแม้คดีจะไม่เข้าข่ายในทั้งสองประเด็นข้างต้น ศาลฯ อาจเข้าไปดำเนินคดีถ้ามีการยื่นเรื่องเข้าสู่การพิจารณาต่ออัยการโดยคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ตามธรรมนูญของศาลฯ มาตรา ๑๓ (บี) ดังตัวอย่างกรณีของประเทศซูดาน
โดยรูปการณ์แล้วจะเห็นว่าความหวังที่จะให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามาดำเนินคดีต่อรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนด้วยกระสุน และน้ำมือของทหารระหว่างวันที่ ๑๐ เมษายน ถึง ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ นั้นเป็นเรื่องยากดั่งเข็นครกขึ้นภูเขา
แต่เราต่างก็รู้กันดีว่าผู้ใช้แรงงานนั่นแหละที่ทำให้การก่อสร้างปิรามิด และกำแพงเมืองจีนสำเร็จได้ นับประสาอะไรกับการเข็นครกขึ้นภูเขา ถ้าใช้แรงงานเป็นหมื่น เป็นแสน หรือยี่สิบล้าน ก่อนอื่นต้องแสดงให้คณะมนตรีความมั่นคงเห็นเสียก่อนว่าคนตายที่สี่แยกคอกวัว และราชประสงค์กว่าเก้าสิบนั้นมีคนยิง มีคนสั่ง ไม่ใช่จู่ๆ กระสุนก็หล่นลงมาจากฟากฟ้าสุราลัย
ประการต่อมาต้องแสดงให้คณะมนตรีความมั่นคงเห็นด้วยว่าความจริงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์เหี้ย*โหดเมษา-พฤษภา ๕๓ นั้นได้รับการปกบิด บิดพริ้วโดยกระบวนการยุติธรรมของไทย อันรวมถึงฝ่ายอัยการเจ้าของคดี (ดีเอสไอ) ขึ้นไปถึงวิธีการพิพากษาที่ให้ประกันเสื้อเหลืองแต่ห้ามประกันเสื้อแดง
การเปิดเผยความจริงให้ปรากฏต่อคณะมนตรีความมั่นคงนี้เปรียบได้กับการเปิดรอยแผลเชือกรัดบนคอวัว ถ้าไม่ตัดเชือกออกก็จะมองไม่เห็นหรอกครับ
* ผู้เขียนขออภัยที่พิมพ์ตัวสะกด “ม” ตกไป
No comments:
Post a Comment