การออกมาชุมนุมของผู้คนจำนวนกว่าล้านกลางกรุงปารีสเมื่อวันอาทิตย์ที่สองของปีใหม่
ได้รับการชื่นชมอย่างกว้างขวางว่าเป็นการแสดงพลังอย่างเป็นประวัติการณ์ สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ทั้งที่โดยนัยยะข้างเคียงถือเป็นการรับรองจุดยืนของนิตยสารการ์ตูนชื่อดังในฝรั่งเศส
(ซึ่งเพิ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกขณะนี้) ในอันที่จะเขียนถึงศาสดาแห่งศาสนาอิสลามในทางเหน็บแนม
และ/หรือล้อเลียนได้
กองบรรณาธิการ ‘ชาร์ลี เอ็บโด’
เพิ่งถูกผู้ก่อการร้ายสามคนบุกเข้าไประดมยิงปืนกลใส่ ตายไป ๑๒ ราย
รวมทั้งตัวบรรณาธิการและนักเขียนการ์ตูนคนสำคัญๆ อีกสองสามคน
คนร้ายหนึ่งในสามถูกจับในเย็นวันดียวกัน ได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอีกสองคนที่เสียชีวิตจากการบุกเข้าจับกุมของตำรวจยังสถานที่หลบซ่อนในวันรุ่งขึ้น
แน่นอนความสำเร็จในการปราบปรามอย่างฉับพลัน และความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อการสูญเสียชีวิตของสื่อมวลชนในสังกัดชาร์ลี
เอ็บโด ทำให้ผู้คนจำนวนมากแสดงภราดรภาพร่วมกับนิตยสารฉบับนี้ด้วยการยกวลี ‘Je
suis Charlie’ (ฉันเป็นชาร์ลี) มาใช้กันอย่างเอิกเกริก
โดยเฉพาะในกรณีกลุ่มชาตินิยมราชาธิปไตยในประเทศไทยที่ออกโรงสนับสนุน
‘ชาร์ลี’ กันอย่างย้อนแย้งกับพฤติกรรมของพวกเขา
ในการไล่ล่า กวาดล้างผู้เห็นต่าง โดยใช้กฏหมาย ‘วายร้าย’ อาญา มาตรา ๑๑๒ กับคนที่วิจารณ์หรือไม่แสดงความจงรักภักดีอย่างล้นพ้นต่อสถาบันกษัตริย์
การนี้ก็มีบทความในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์สองรายโยงใยถึงการปฏิพัทธ์
ระหว่างโศกนาฏกรรมชาร์ลี เอ็บโดกับลัทธิเชิดชูกษัตริย์เป็นล้นพ้น เอาไว้อย่างน่าสนใจ
หนึ่งนั่นคือ Atiya
Achakulwisut ผู้ซึ่งมีข้อเขียน ‘อ็อป-เอ็ด’ ปรากฏบนวารสารออนไลน์
'Political
Prisoners of Thailand' อยู่เนืองๆ ได้เปรียบเทียบการปกป้องสิ่งที่กลุ่มคนยึดมั่นว่าศักดิ์สิทธิ์
(อย่างศาสดาโมฮัมหมัดของอิสลาม) กับสถาบันกษัตริย์ในความเชื่อของคณะทหารผู้ปกครองและ
ขบวนการขวาจัดสุดโต่ง (เช่น องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน –ผู้เขียน)
บทความชื่อ 'Balancing Lese Majeste with free speech' ของเธอ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคมชี้ว่า สำหรับพวกที่ถือว่าสถาบันกษัตริย์มีความศักดิ์สิทธิ์
จะไม่สนใจว่ามีการบังคับใช้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (หรือมาตรา ๑๑๒ ในประมวลกฏหมายอาญา) อย่างรุนแรงเพียงไร
หรือไม่แคร์ว่ากฏหมายนี้มีข้อเสียหนักอยู่ที่ เปิดให้ใครก็ได้ฟ้องใครก็ได้
(แถมเมื่อฟ้องแล้ว ในธรรมเนียมปฏิบัติทั้งตำรวจ อัยการ
และศาล ต้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด อีกทั้งไม่ยอมให้ผู้ต้องหาได้รับการประกันให้ปล่อยตัวชั่วคราวเสมอ
–ผู้เขียน)
ข้อเขียนของอทิยาบ่งว่า ปัญหาขัดข้องแก้ไม่ตกระหว่างกฏหมายปกป้องการหมิ่นกษัตริย์กับเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยอย่างกว้างขวางแล้วนี้ จะก่อให้เกิดความรุนแรงแบบโศกนาฏกรรมชาร์ลี
เอ็บโด ตัวอย่างของการเข่นฆ่าล่าสังหารเพราะการถือมั่นจะต้องปกป้องสถาบันศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นแล้วในเหตุการณ์
๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
อีกข้อเขียนเป็นของ อัญชลี คงกรุต
ผู้ซึ่งเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติแวดล้อมอีกโสตหนึ่งด้วย เธอเสนอในบทความชื่อ 'Je
suis Nattanan' เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคมนี้เอง ริเริ่มกระบวนการ ‘ฉันเป็นณัฐนันท์’ นักเรียนหญิงชั้นมัธยมปลายวัย ๑๗ ปี
ที่ตั้งคำถามต่อประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติว่า
“จะแก้ปัญหาคอรัปชั่นได้อย่างไร
ในเมื่อการเข้ามาสู่อำนาจของพวกท่าน เป็นการขโมยหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงจากประชาชนไป ซึ่งก็คือการคอรัปชั่นทางอำนาจ
ที่ไม่ได้เลวร้ายน้อยไปกว่าคอรัปชั่นทางการเงินเลย”
เพราะคำถามเช่นนั้น น.ส. ณัฐนันท์ วรินทรเวช
ถูกระงับไม่ให้ออกรายการเจาะประเด็นร้อน ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๕
ซึ่งเธอได้รับเชิญให้ไปร่วมซักถามความเห็นต่อนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ด้วยข้ออ้างว่า
"เชิญมาผิดคน"
อัญชลีให้เหตุผลว่า กระบวนการ ‘ฉันเป็นณัฐนันท์’
ของเธอคือการรณรงค์เพื่อเสรีภาพในการแสดงออกสำหรับประเทศไทย เพราะ “เราอาจเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงคนนี้มากกว่าที่เราจะตระหนัก”
และ “เราก็เหมือนกับคนที่ถูกขับออกไปจากงานใดงานหนึ่งเพราะเราส่งเสียงหือ ไม่ยอมสยบง่ายๆ”
“ดังนั้น เราจึงเป็นณัฐนันท์
เพราะเราไม่สามารถจะตั้งคำถามได้ ไม่ว่าเราจะพอใจหรือไม่” เธอลงท้าย
ลองกลับไปที่ประเด็นเกี่ยวข้องชาร์ลี เอ็บโดโดยตรงดูบ้าง
ผู้ก่อการร้ายมุสลิมที่ลงมือบุกถล่มยิงอ้างว่านิตยสารลงภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดาโมฮัมหมัดจึงได้กระทำการร้ายแรงล้างแค้น
อันนี้ชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากมายย่อมเห็นคล้อย อย่างน้อยในประเด็นไม่พอใจการล้อเลียน
แต่อาจไม่ถึงล้างแค้น
นักเขียนอีกคนหนึ่งที่เอ่ยถึงเหตุก่อการร้ายสังหารกองบรรณาธิการชาร์ลี
เอ็บโดไว้น่ารับฟัง เขาอ้างว่าตนเองเป็นชาวฝรั่งเศส เป็นนักรบฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง (a
radical left militant) ข้อเขียน ‘On Charlie Hebdo :A
letter to my British friends’ ของเขาปรากฏบน http://blogs.mediapart.fr/blog/olivier-tonneau/110115/charlie-hebdo-letter-my-british-friends ในวันอาทิตย์เดียวกันที่มีคนกว่าล้านไปชุมนุมกลางกรุงปารีส
“เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาเริ่มไหลหลากทั่วเว็บต้านทานชาร์ลี
เอ็บโด ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็น ‘ผู้รังเกียจอิสลาม’ (Islamophobia)
เหยียดเชื้อชาติ และหยามเพศ” Olivier Tonneau
อารัมภบทในจดหมายของเขา
ความรู้สึกทำนองเดียวนี้ปรากฏในที่อื่นๆ อาทิ อาดัม แช้ทซ์
เขียนไว้ใน London Book of Review: ว่า
“ถ้าฝรั่งเศสยังคงปฏิบัติต่อผู้คนเชื้อสายอาฟริกาเหนือเหมือนดั่งว่าเป็นภัยคุกคามต่ออารยะธรรม
‘ของเรา’ แล้วละก็
จะมีคนเหล่านี้ประกาศตัวเป็นภัยคุกคามแบบเดียวกับสองพี่น้องโคอาชีกันมากขึ้น
นี่จะเป็นของขวัญให้แก่มารีน เลอเพ็นและพวกจิฮาดที่ปฏิบัติการบนจุดยืนเดียวกัน
ที่ว่ากำลังมีสงครามจำบังระหว่างยุโรปกับอิสลามดำเนินอยู่”
โอลิวิแอร์ ทอนนูว์ อธิบายจำกัดความลักษณะของ ชาร์ลี
เอ็บโด ไว้คล้ายคลึงกัน เขาว่า
เป้าหมายเบื้องต้นของชาร์ลี เอ็บโด อยู่ที่พรรค Front National อันเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาสุดโต่งของฝรั่งเศส นำโดยนางมารีน เลอ เพ็น
นอกเหนือจากนั้นชาร์ลีไม่ได้เพียงงัดข้อกับอิสลาม หากแต่ต่อต้านกระบวนการศาสนาที่ผูกมัดความเชื่อและศรัทธาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
ชาร์ลีล้อเลียนทั้งสันตปาปา ยิวออร์โธด็อก และมุสลิม ด้วยน้ำเสียงและน้ำหนักไม่เบาเท่าๆ
กัน อารมณ์ขันในการเสียดสีของชาร์ลีอยู่ในขอบข่ายที่เป็น ‘ฝรั่งเศส’ แม้จะไม่รื่นหูคนชาติอื่น แต่ก็แสดงออกสำหรับสายตาของชาวฝรั่งเศสโดยตรง
โอลิวิแอร์ สรุปว่าสิ่งที่ชาร์ลี
เอ็บโดพยายามทำเป็นการปกป้องแนวคิดแบบสาธารณรัฐนิยม (La république) ที่ว่า “มันไม่ใช่ศาสนาที่จะมากำหนดความมุ่งมั่นของคน หากแต่เป็นระบบยุติธรรมนั่นต่างหาก”
“การยึดมั่นประเพณีเหนียวแน่น (aggressive
fundamentalism) ที่เรียกร้องให้ทุกคนแสดงจุดยืนของตนในทางจริยธรรม
การเมือง และถิ่นฐาน ในมาตรการทางศาสนา...มีอันตรายและน่าเย้ยหยัน
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด..”
โอลิวิแอร์เชื่อว่ากลุ่มการเมืองขวาจัดจะต้องฉวยโอกาสนำเหตุก่อการร้ายต่อชาร์ลีไปขยายผลเพื่อโฆษณาขบวนการของตน
ซึ่งก็ตรงกับการวิเคราะห์ของสตีเว็น เออร์แลงเจอร์
แห่งหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทมส์ ที่ว่า 'In cold political term, Far right and French President both gain'.
ทั้งนี้เนื่องจากผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นพลเมืองฝรั่งเศสแต่เชื้อชาติอาหรับ
เช่นสองพี่น้องซึ่งบุกเข้าไปกราดยิงในกองบรรณาธิการชาร์ลี เอ็บโด ด้วยมาดการจู่โจมเหมือนในสนามรบที่ได้รับการฝึกอาวุธมาอย่างดีนี้
กำลังเป็นปัญหาทางการเมืองให้พรรคแนวหน้าแห่งชาติของนางเลอเพ็นใช้เป็นเป้าหมายหลักในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี
ค.ศ. ๒๐๑๗ จากประธานาธิบดีฟรังซัวส์ อัลลองด์ แห่งพรรคสังคมนิยม ที่กำลังคะแนนนิยมตกต่ำมาก
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศ
สำหรับประธานาธิบดีอัลลองด์เองแม้จะได้หน้าได้ตาขึ้นมาพอดูจากการจัดให้มีการชุมนุมใหญ่สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกเมื่อวันอาทิตย์ที่
๑๑ มกราคม โดยที่ผู้นำประเทศในยุโรปไปร่วมกันมากหน้า รวมทั้งนางแองเจล่า เมอร์เกิล
ของเยอรมนี เดวิด แคเมอรอน ของอังกฤษ เบ็นจามิน นาธันยาฮู ของอิสรเอล และมาริอาโน
ราจอย ของสเปน
แต่การที่ไม่ยอมเชิญนางเลอเพ็นของพรรคฝ่ายขวา ซ้ำร้ายประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าของสหรัฐ ก็พลาดที่จะเดินทางไปร่วมอย่างน่าละอาย
ล้วนจะเป็นน้ำหนักถ่วงคะแนนนิยมทางการเมืองของประธานาธิบดีอัลลองด์ให้ไม่อาจกระเตื้องขึ้นได้มากนักจากโศกนาฏกรรมชาร์ลี
เอ็บโด
แต่ในสายตาของโอลิวิแอร์นั้น โศกนาฏกรรมชาร์ลี เอ็บโด
เกิดจากการคุกคามของลัทธิยึดมั่นประเพณีเหนียวแน่น (ฟันดาเม็นทัลลิซึม)
กับลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ ที่มากระหน่ำคู่กันเป็นแฝดในขณะที่สภาพเศรษฐกิจอยู่ในภาวะฝืดเคือง
ความเสมอภาคก็ถูกจำกัด เสรีภาพในเวลานี้เป็นเพียงหน้าไหว้หลังหลอก ในเมื่อภาคส่วนของประชากรฝรั่งเศสยังถูกเอารัดเอาเปรียบ
"ภราดรภาพสลายหายไปเมื่อศาสนาเข้าครอบงำการเมืองด้วยการยกให้เป็นหลักการพื้นฐานของสังคม"
บนจุดยืนของโอลิวิแอร์สภาพสังคมฝรั่งเศสขณะนี้แปลกแยกแบ่งฝ่ายอย่างหนักหน่วง
ทางออกแคบๆ ของเขาก็คือการต่อสู้เพื่อให้หลักการสาธารณะรัฐยืนหยัดเป็นเด่นมั่นคง
นั่นคือชู Liberté, Egalité, Fraternité หรือ หลักการสามนิ้วแห่งเสรีภาพ
ความเสมอภาค และภราดรภาพ
ซึ่งในประการสาม ที่ว่าภราดรภาพนั้นนิยามตรงคำได้ว่า
“รักใคร่ปรองดองฉันพี่ฉันน้อง” และนี่เป็นสิ่งที่สังคมไทยเรียกร้องต้องการมาช้านานใช่หรือไม่
มิหนำซ้ำยังใช้เป็นข้ออ้างของคณะทหารในการยึดอำนาจการปกครองไปจากรัฐบาลที่ได้อาณัติคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชากรจากการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน
ครั้นเมื่อทหารหักดิบยึดอำนาจเพื่อการปรองดอง และจัดการลากตั้งคณะนายพลเข้าไปเป็นผู้ผู้บริหารประเทศ
อุปโลกฝูงชนเป็นโขยงเข้าไปออกแบบกฏหมาย วาดฝัน ‘พวกเราเหล่ามาชุมนุม’
ผู้ปรับเปลี่ยนแบบแผนของการอยู่ร่วมกันในนามการปฏิรูป
เสร็จแล้วทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดโดยผู้ปกครองในทางดิ่งทางเดียว
ดังเช่นให้มีกฏหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
ที่จัดให้แต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นมากำกับ ควบคุม และมีอำนาจเด็ดขาดไร้การตรวจสอบ
สามารถลบล้างเนื้อหาที่ประชาชนนำขึ้นเผยแพร่บนไซเบอร์ได้อย่างเด็ดขาด
นี่ไม่ต่างอะไรกับลักษณะ ‘บิ๊กบราเธอร์’ ในนิยายของออร์สัน
เวลล์
เลวร้ายกว่านั้นยังเป็นการคุกคามทำลายแบบแผนสังคมในหลักการสามนิ้วอีก
ด้วยการโหมกระหน่ำจากลัทธิฟันดาเม็นทอลควบกันกับฟาสซิสต์
ทำให้สังคมแตกแยกไม่มีการปฏิสัมพัทธ์ของประชากร
และภราดรภาพย่อมไม่มีความหมายดังนิยามที่โอลิวิแอร์ให้ไว้
ผู้ชุมนุมกว่าล้านในกรุงปารีสที่ออกมาตามเห่อกับสมัยนิยม ‘Je suis
Charlie’ จึงอาจจัดได้ว่าหลงประเด็น เว้นแต่จะเน้นอ้างแต่เพียงสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกอย่างพอเหมาะ
ไม่ขยายออกไปถึงการแข็งกร้าวและท้าทายเกินไป
ดังมีผู้ชี้ให้เห็นว่าหน้าปกนิตยสารฉบับใหม่ของชาร์ลี
เอ็บโดที่ขายดีหมดเกลี้ยงต้องตีพิมพ์เพิ่ม นั่นเป็นภาพการ์ตูนศาสดาโมฮัมหมัดถือป้าย
‘ฉันเป็นชาร์ลี’ ภายใต้ข้อความพาดหัวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างให้อภัยหมด”
นั้นลายเส้นใบหน้าแฝงลักษณะองคชาติเอาไว้อย่างแก้ตัวไม่ขึ้นเช่นกัน
อันท่าที่ของนิตยสารชาร์ลีนั้นภายนอกประเทศฝรั่งเศสซึ่งมีรสนิยมในการรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์และการล้อเล่นล้อเลียนต่างออกไป
หลายแห่งไม่ได้มีอารมณ์ขันลึกล้ำเท่า บางที่ก็มีน้ำอดน้ำทนไม่พอด้วยซ้ำไป (คงต้องขอใช้คำภาษาอังกฤษที่ว่า
less inclined และ intolerant มาประกอบ)
เดวิด บรู๊คส์ นักเขียนบทวิจารณ์สายอนุรักษ์นิยมประจำหนังสือพิมพ์
เดอะนิวยอร์คไทมส์ เขียนถึงปรากฏการณ์ ‘ฉันเป็นชาร์ลี เอ็บโด’ ทันใดในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุในฝรั่งเศสว่า "I
am not Charlie Hebdo" เขาบอกว่าถ้ามีใครในอเมริกาพยายามจะตีพิมพ์วารสารแบบชาร์ลี
เอ็บโดในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งของสหรัฐในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
“รับรองอยู่ได้ไม่ถึง ๓๐ วินาฑี”
การตามเห่อ (Hoop la) อ้างตัวเป็นชาร์ลี
เอ็บโดในอเมริกาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น เดวิดบอกว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
“พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้หมกมุ่นกับการใช้อารมณ์ขันแสบคันวิพากษ์วิจารณ์อย่างก้าวร้าวแบบที่ชาร์ลี
เอ็บโดช่ำชอง” และ “พวกเราส่วนใหญ่มุ่งไปทางรับฟังแนวคิดซับซ้อนของสิ่งที่เป็นจริง
และพร้อมให้อภัยผู้อื่น”
“การเย้ยหยัน (ridicule) กลายเป็นเรื่องไม่สนุกเสียแล้วเมื่อตัวเองเริ่มตระหนักว่าอาการน่าขันของตนนั้นมันชักเกิดขึ้นบ่อยๆ”
เดวิดเขียนถึงนักเสียดสีล้อเลียน (satirist) และพวกที่ชอบกระแซะเยอะหยัน
(ridiculer) ว่าพวกนี้เปิดโปงจุดอ่อนและความจองหองลมๆแล้งๆของเรา
ทำให้วิมานในอากาศของเราล่มสลาย
“พวกที่ชอบกระซุ่นจุ้นจ้าน (provocateurs) กับพวกที่ชอบเย้ยหยัน (ridiculers) เหล่านี้แหละที่กระชากหน้ากากให้เห็นความโง่เขลาของพวกที่คลั่งไคล้ยึดมั่นประเพณีเหนียวแน่น
(fundamentalists)" ผู้ซึ่งเดวิดให้อัตถาธิบายต่อไปว่า
เป็นพวกไม่สามารถรับฟังความคิดหลากหลายได้
ในแนวคิดของเดวิด นักเสียดสีไม่เพียงแต่เปิดโปงผู้ที่ไม่สามารถหัวเราะตัวเองได้เท่านั้น
ยังสอนให้คนอื่นๆ ได้คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เราควรทำด้วย
นี่เองทำให้มาถึงเส้นแบ่งอันเรียวบางระหว่างอารมณ์ขันสร้างสรรค์กับการก้าวร้าว ที่เขาเสริมว่า
“เราต้องการรักษามาตรฐานของความสุภาพและการให้เกียรติเอาไว้
ในขณะที่ปล่อยให้มีที่ว่างสำหรับการสร้างสรรค์และการท้าทาย จากประดาผู้ที่ไม่มักคุ้นกับเรื่องมารยาทและรสนิยมสุนทรีย์”
ที่ซึ่งเดวิดชี้ว่านี่แหละคือความสมดุลที่สังคมโลกส่วนมากสามารถรักษาไว้ได้
“ถ้าหากคุณพยายามที่จะดึงเอาความสมดุลอันเปราะบางนี้ออกไปด้วยการนำเอากฏหมาย
เกณฑ์การแสดงความเห็น และการห้ามผู้ปาฐกถาเฉพาะกรณี เข้ามากำกับแทน
มันก็จะไปลงเอยด้วยวิธีการเซ็นเซอร์ที่กร้าวหยาบ”
“ความมีน้ำอดน้ำทนในเชิงกฏหมาย (legally
tolerant) ต่อเสียงวิพากษ์ที่แกร่งกร้าว
นั่นแหละคือคุณลักษณะของสังคมที่มีสุขภาพ (จิต) สมบูรณ์”
No comments:
Post a Comment