Monday, July 1, 2013

ยังมีผู้ถูกจับกุมคุมขังด้วยมาตรา ๑๑๒ อยู่มากมาย



ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ 'ออน เดอะ ไบร๊ท์ ไซ้ด์' by Rayib
 
“ผ่านวันเวลาจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยังมีผู้ถูกจับกุมคุมขังด้วยมาตรา ๑๑๒ อยู่มากมาย คงไม่ต้องถามว่า วันนี้ประเทศไทยมีเสรีภาพพอหรือยัง -Pruay Salty Head, 27 มิถุนายน 2556”

นั่นเป็นข้อเขียนลงท้ายบทความครบรอบสามปีของผู้ใช้นาม 'ปรวย ซ้อลตี้เฮด' อดีตนักเล่นเว็บบอร์ดที่ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์ไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งบัดนี้สามปีผ่านไปยังคงเป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัยในข้อหาเดียวกันจำนวนไม่น้อยที่รอคอยการเปลื้องมลทิน

อันความระคายเคืองจะได้รับการปลดเปลื้องได้เมื่อมีการปรับปรุง (ปฏิรูป) เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ในประมวลกฏหมายอาญาของไทยให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากล และสะท้อนหลักเกณฑ์ความถูกต้องของกฏหมาย ที่ในทางสากลเรียกว่า Rule of Law และในประเทศไทยเรียก นิติธรรม

แน่ละในสถานการณ์ขณะนี้ ที่รัฐบาลอันมาจากการเลือกตั้งของประชาชน (ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ต้องการเห็นการปกครอง การทำมาหากิน และการใช้ประโยชน์ทรัพยากร สะท้อนถึงสิทธิ และเสรีภาพของมวลมหาประชาชนอย่างสมบูรณ์เสียที) นั้นเองยังแอบเปรยๆ ว่า “เอาตัวไม่ค่อยจะรอด” 

ความเปลี่ยนแปลงจึงออกจะหวังได้ยากแม้กระทั่งในขั้นต่ำสุดคือการปรับปรุง ม.๑๑๒ 

เช่น ให้ระวางโทษสมจริงไม่สุดโต่ง สมน้ำสมเนื้อกับความผิด ไม่ต้องมีโทษขั้นต่ำ ๓ ปี เพื่อที่ผู้ถูกกลั่นแกล้งด้วยการบังคับใช้กฏหมายฉบับนี้มี สิทธิ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนแล้วศาลยกฟ้องไม่ต้องลงอาญา หรือว่าโทษขั้นสูงสุด ๑๕ ปีรุนแรงเสียยิ่งกว่าโทษฆ่าคนตาย
 
ด้านตัวบทแห่งกฏหมายไม่ควรที่จะเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ยื่นฟ้องใครก็ได้ อันเป็นหนทางให้ ก.ม.ถูกใช้เป็นเครื่องมือห้ำหั่นเอาชนะกันทางการเมือง ดังเช่นทหารฟ้อง ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในข้อหาที่ผู้ถูกอ้างว่าเสียหายคือเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ มิได้เข้าข่ายบุคคลใน ม. ๑๑๒

หรือนายวิพุธ สุขประเสริฐ ผู้ใช้นาม 'ไอแพ้ด' เที่ยวฟ้องใครต่อใครเป็นสิบๆ รายรวมทั้ง ดร.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักปรัชชญาชายขอบ และปรวย ซ้อลตี้เฮด หรือกระทั่งกรณีที่ พี่ชายฟ้องน้องชาย ในความผิด ม.๑๑๒ แต่ว่ามูลเหตุความไม่พอใจมาจากขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนตัว

จึงเป็นความระเหี่ย อ่อนเปลี้ยของผู้ที่คอยความเป็นธรรมจำนวนมากที่บางคนอยู่ในคุก บางคนอยู่ในระหว่างประกันตัว และอีกบางคนอยู่ในระหว่างหลบหนี-ลี้ภัย ทั้งหมดล้วนแต่ได้แสดงออกทางความคิดตามสิทธิมนุษยชนพื้นฐานของตน หลายคนเคยเป็น หรือแม้แต่กำลังเป็นผู้ที่คนทั่วไปรู้จักดี (High profiles) อีกหลายคนมีแต่ชื่อปรากฏในเอกสารข้อเขียนบางแห่ง
 
ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะกรณีของปรวย ซ้อลตี้เฮด เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แม้เขาจะเป็น ชนชั้นกลางที่ในมาตรฐานแบบไทยๆ ไม่น่าจะมีความคิดก้าวหน้า (progressive) และกล้าแสดงออกมากกว่าเพื่อนร่วมชนชั้นอื่นๆ จึงต้องกลับกลายเป็นผู้ลี้ภัยที่แม้นจะไม่ถูกจำกัดอิสรภาพ ก็ยังประสพกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ราบรื่นนัก ดัง ข้อเขียนของเขาเอง ในตอนหนึ่ง

“เมื่อผมโพสเรื่องราวที่ผมโดนจับครั้งแรกนั้น แม่ผมกับน้องก็โดนเรียกไปสอบ นั้นทำให้ครั้งนี้ พวกเขาถึงขนาดเอ่ยปากฝากมาว่าให้ผมเลิกโพสอะไรเสียทีเถอะ เพราะคนที่อยู่ในประเทศเดือดร้อน นี่มันก็เหมือนเจ้าหน้าที่ทำอะไรผมไม่ได้ก็เที่ยวไปกดดันคนที่ผมรักแทน เพื่อจะให้ผมหยุดต่อสู้”
ภาพโปสเตอร์จากเฟชบุ๊ค Junya Lek Yimprasert

ปรวย ซ้อลตี้เฮดเป็นใคร ในเบื้องต้นขอเชิญทำความรู้จักเขาแบบเดียวกับที่ผู้เขียนได้รู้จักจากข้อความสั้นๆ ที่เขียนโดย จรรยา ยิ้มประเสริฐ ผู้ต้องหา ม. ๑๑๒ ที่ลี้ภัยอยู่อีกคน ดังนี้

“ปรวย Salty Head ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาที่สนใจการเมือง และโพสต์ข้อคิดเห็นทางการเมืองในเวบบอร์ดประชาไท และฟ้าเดียวกัน (คนเหมือนกัน) หลังจากถูกจับกุม และสอบสวนในเดือนพฤษภาคม 2553 โดยสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เขาพบว่าตำรวจได้ติดตามเขามาตั้งแต่ปี 2551 ทั้งนี้ตำรวจ DSI 12 คนเข้าตรวจค้นที่บ้านพักของเขาในปลายเดือนพฤษภาคม 2553 และนำตัวเขาพร้อมเครืองคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว 2 เครื่องไปยังสำนักงาน DSI ซึ่งเขาถูกสอบสวนหลายชั่วโมง

...เขาออกจากงาน ตัดสินใจขายรถและเดินทางออกจากประเทศไทย”

และจากที่เขาตอบข้อซักถามของนายตำรวจดีเอสไอตอนหนึ่งว่า “ผมนี่โคตรชนชั้นกลางเลย ชีวิตถ้าไม่มายุ่งกับเรื่องนี้ก็โคตรสบายเลย ทำงานมีเงินใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลาง สบาย มีตังค์ก็ไปกินเหล้า เที่ยวผับ ตีหม้อ เลี้ยงเด็ก ช้อปปิ้ง รากหญ้า ชาวบ้านจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องสนใจ เพราะกูเป็นชนชั้นกลาง เอามั๊ยละ ท่านอยากให้พลเมืองของประเทศเป็นแบบนั้นหรือเปล่าเอามั๊ยละ ให้พลเมืองของประเทศไม่ต้องสนใจบ้านเมือง หาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว เอามั๊ย ผมประชด”

การที่เขาเล่าถึงสิ่งที่เกิดกับตัวด้วยข้อเขียนของตนเองสี่ครั้ง ทำให้สรุปว่าเขาก็คือคนไทยวัยทำงานที่มีการศึกษาดี (แล้วยังมีความรู้เยี่ยมด้วย) มีการงาน และรายได้พอมีอันจะกิน มีความคิดอ่านแบบเสรีนิยม และสำคัญที่สุดรักความจริงจนอดไม่ได้ที่จะโพทนาความเท็จ ประจานความชั่ว ไม่ยอมให้น้ำท่วมปาก ไม่อยากเสแสร้งกราบกรานใครในเมื่อไม่ได้รัก-ศรัทธาแท้จริง

เขาเล่าถึงระหว่างถูกนำตัวไปสอบสวนที่สำนักงานดีเอสไอว่า “ผมนึกไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะพูดความจริง เพราะในยามขับขันแบบนี้ขืนไปโกหกตัวเราเองนั่นแหละที่จะจำไม่ได้ว่าเราโกหกอะไรไป ผมเชื่อในความบุริสุทธิใจของผม ผมไม่ได้ไปโกงใคร ไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ปล้นใคร เพราะฉะนั้นผมจะพูดความจริงที่ผมทำ และจะพูดความจริงที่ผมคิดอย่างไม่ปิดบัง”

เขาถูกดีเอสไอซักเรื่องที่เคยลงรูปคณะรัฐประหารปี ๒๕๔๙ (คมช.) เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลางดึก กับข้อความที่เขาลงไว้ในปี ๒๕๕๑ เกี่ยวกับพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวฯ ต่อคณะผู้พิพากษาหลังการเลือกตั้งเดือนเมษายน ๒๕๔๙ ที่ว่า “มีทางทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้มั๊ย” 

ซึ่งในความเห็นของปรวยที่ตอบดีเอสไอไปว่า “พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าทุกข์ให้ดับที่เหตุ คุณไม่อยากให้คนวิจารณ์สถาบันแต่ปล่อยให้สถาบันลงมายุ่งการเมือง ปล่อยให้อีกฝ่ายเอามาอ้างทำลายอีกฝ่าย แล้วคุณมาไล่จับคนวิจารณ์ ผมถามว่ามันจะหมดมั๊ยครับ คุณจะจับหมดมั๊ยครับ”
 
แล้วยังกรณีการเสียชีวิตของนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เขาตอบดีเอสไอว่า “โห ท่านเคยได้ยินวันตาสว่างแห่งชาติหรือเปล่าครับ” กับ “คนไทยไม่โง่นะครับ เขาดูออกว่าทำไมมันถึงสองมาตรฐาน ฝ่ายนึงโดนไล่ล่า ฝ่ายนึงทำผิดยังไงก็ได้ ไม่มีใครทำอะไร คนไทยรับรู้เรื่องแบบนี้ได้ง่ายครับ เพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวัน”

เหล่านี้อาจทำให้ตำรวจที่สอบสวนเขาตอบสนองว่า “เออ คุณมีความคิดดีนะ” บ้างก็ว่า “ผมอ่านแล้วผมก็ชอบแนวคิดของพี่นะ แต่ว่า….” มีวลีหนึ่งที่เขาได้ยินทั้งวันนับเป็นสิบหนตลอดการสอบสวนคือ “ยังไงมันก็ผิดกฎหมาย”

มันจึงกลายเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่า กฏหมายเป็นที่พึ่งให้แก่สิทธิมนุษยชนหรือเปล่า กฏหมายกลายเป็นสัตว์ดุร้าย กลายเป็นอาวุธน่าสะพรึงกลัวไว้กดขี่ชาวบ้านชาวช่องหรือไม่ กฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ของไทยเป็นที่กล่าวถึงอย่างสยองขวัญในประชาคมโลกว่า Draconian Law เพราะอะไร

เพราะตัวบทของมันโหดเหี้ยม รุนแรงประดุจสัตว์ร้ายใช่ไหม 

คำของนายตำรวจดีเอสไอที่ตอบกลับปรวยระหว่างการสอบสวนช่วงหนึ่งว่า “คุณรู้ใช่มั๊ย ยังไงประเทศนึงมันต้องมีสถาบันหลักเป็นหลักของประเทศ” นั่นอาจเป็นการอ้างอิง out of contexts เพราะการมีกฏหมายที่โหดเหี้ยม และไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนไว้ปกป้องสถาบันหลักของประเทศ ย่อมทำให้ความน่ารัก น่าศรัทธาของสถาบันหลักเสื่อมลงไป

ออน เดอะ ไบร๊ท์ ไซ้ด์จึงอยู่ที่การแก้ไขซึ่งกล่าวได้ว่าไม่ใช่เรื่องยากอันใด ก่อนอื่นขึ้นอยู่กับผู้ที่มีพันธะหน้าที่ มีความรับผิดชอบ และมีอำนาจ (Authority) ที่ได้รับมอบหมายโดยอธิปไตยของปวงชน จะต้องมีเจตนาทำให้สิ่งที่ยังขาดตกบกพร่องดีขึ้น ด้วยการลงมือดำเนินการ อย่าพะว้าพะวังรั้งรอเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าในหนทางย่อมมีอุปสรรค และมีปัญหาขัดข้องที่ต้องแก้ไขพร้อมไปด้วยตามกระบวนการ ในที่นี้คือทำให้กฏหมายที่มักอ้างอิงกันอยู่เสมอนั้นชอบธรรม และมีคุณธรรม ตั้งแต่กฏหมายลูกๆ อย่าง อาญา ๑๑๒ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ๒๕๕๐ไปจนกระทั่งกำจัดปัจจัยอันทำให้สิทธิของมนุษยชนไทยไม่เท่าเทียม

ดังเช่นกฏหมายพ่อ-แม่ เช่น ก.ม.รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ซึ่งถึงจะมีบทว่าด้วยสิทธิมนุษยชนประดับไว้สวยหรู แต่เนื้อในหลายส่วนในรัฐธรรมนูญสอดใส้แฝงไปด้วยองค์กรพิเศษต่างๆ ซึ่งมีอำนาจวินิจฉัย และบังคับไปทางปรปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย อันมีผลต่อการใช้สิทธิมนุษยชนของพลเมืองทั้งทางตรง และทางอ้อม

การได้มาซึ่งสมาชิกสภาสูงจำนวนเกือบครึ่งโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง หรือการเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่ องค์กรอิสระ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจตุลาการเหนืออำนาจนิติบัญญัติ และบริหาร กับการคงอยู่ขององคมนตรีในที่ทางสูงเด่นของรัฐธรรมนูญ เป็นตัวอย่างความลักลั่นที่หลักการสิทธิมนุษยชนสากลถูกเบียดบัง

หมวดพระมหากษัตริย์ มาตรา ๑๒ ถึง ๑๖ เกี่ยวกับความสูงส่งแห่งองคมนตรีจนเป็นช่องทางให้เกิดการอ้างอิง บดบัง และครอบงำไม่ให้ประชาชนถ้วนหน้าสามารถใช้สิทธิมนุษยชนได้อย่างสมบูรณ์ตามเนื้อหาหลักการ 

ดังนั้นจึงสมควรยกออกไปเสียจากตำแหน่งแห่งหนในกฏหมายสูงสุดของประเทศ ไปสู่ที่ทางอันเหมาะสม คือในระเบียบปฏิบัติแห่งสำนักพระราชวัง

เช่นนี้ไม่เพียงจะทำให้หลักการสิทธิมนุษยชนที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญไทยสง่างามสมจริง แล้วยังเป็นอาณิสงค์แก่ผู้ต้องหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดั่งการโปรดสัตย์ (ย้ำ-สัตย์) ในนัยยะที่ปรวย ซ้อลตี้เฮดสาธยายไว้แก่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอนั่นแล

No comments:

Post a Comment