ก่อนอื่นต้องนิยามคำสี่คำที่นำมาเรียงเป็นวลีจั่วหัวนี้เสียก่อนว่า
บทบาท หมายถึงการแสดงออกเพื่อให้เกิดผลดังมุ่งหวัง
อันรวมทั้งสิทธิ และหน้าที่ในฐานะประชาชนไทยผู้ได้ชื่อว่าถืออำนาจอธิปไตยตามหลักการอันต้องตามสากลของลัทธิการเมืองประชาธิปไตย
ไม่ยาวไม่สั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้
เสื้อแดง
หมายถึงประชาชนไทย
และ/หรืออาจมิใช่ประชาชนในขอบข่ายของตัวบทกฏหมายอันเกี่ยวกับเชื้อชาติ และสัญชาติ
หากแต่เป็นผู้มีความผูกพันในทางเชื้อชาติ และสัญชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือทั้งสองอย่าง ด้วยความรัก ศรัทธา และเจตนามุ่งมั่นให้เกิดความเจริญในลักษณะสากลแก่ประชาชนไทย
โดยที่คนเหล่านี้มีจุดมุ่งหมาย กระทำกิจกรรม แสดงความคิดเห็น และเรียกร้อง
ให้ประเทศไทยปรับเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ตามอุดมการณ์สากล
ไม่สั้นไม่ยาว ไม่น้อยไม่มากไปกว่านั้น
ในช่วง
หมายถึงระยะเวลาทั้งก่อน (ซึ่งก็คือตั้งแต่บัดนี้) และในขณะที่เป็นไปตามคำต่อท้ายคำนี้
กับหลังจากเลยจุดกำหนดดังกล่าวไปแล้ว จนกว่าจะสิ้นสุดการเคลื่อนไหว เข้าสู่สถานการณ์ราบรื่น
และไหลนิ่ง ถ้าหากเกิดการสั่นคลอน หรือโคลงเคลงขึ้นจากผลของจุดกำหนดที่ว่านั้น
เปลี่ยนผ่าน
หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสถาบันสำคัญทางการเมือง และสังคมไทย
ที่ไม่อาจระบุอย่างจะแจ้งได้ในขณะนี้ด้วยเหตุผลด้านสวัสดิภาพที่ปลอดจากการคุกคามของกฏหมายไม่เป็นธรรม
จนกว่าการเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จลุล่วงไปแล้ว และสถานการณ์เข้าสู่ลักษณะราบรื่นดังกล่าวไว้ในย่อหน้าก่อน
จึงเป็นคำกล่าวอย่างอ้อมค้อมที่เข้าใจกันดีตามหลักการประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบสากล
ไม่ยาวไม่สั้น ไม่มากไม่น้อยกว่านี้อีกแล้ว จึงไม่ต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมใดๆ
“บทบาทเสื้อแดงในช่วงเปลี่ยนผ่าน” นี้มีการพูดถึง
และถกเถียงกันมาแล้วไม่น้อยในทางส่วนตัวเป็นหย่อมๆ และกึ่งสาธารณะ
จะมีที่โผล่ออกมาในทางสาธารณะเต็มๆ ในระยะหลังๆ นี่ก็แต่ส่วนน้อย ตั้งแต่ นิธิ
เอียวศรีวงศ์ ซึ่งพูดถึงกรณีเสื้อแดงล้วนๆ มาถึง สมศักดิ์
เจียมธีรสกุล ซึ่งพูดถึงการเปลี่ยนผ่านตรงๆ ไปจนกระทั่งฝรั่งต่างชาติเขียนกันด้วยมุมมองทางวิชาการ
ไม่อ้อมค้อม และมุ่งวิเคราะห์เข้าถึงแก่นของปัญหา ไม่ว่าจะเป็น แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล หรือ เซอร์ฮัท อูนาลดิ กับนักวิชาการต่างชาติอื่นๆ
อีกหลายคนต่างให้ข้อสรุปตรงกันว่า
ถ้าการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยเป็นไปโดยไม่มีการแก้ไขด้วยวิธีการเจรจา
และสนธนากันโดยไม่อ้อมค้อม ในปัญหาอันเป็นแก่นกลางแห่งความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมากว่า
๖ ปี โดยที่ถ้าหากฝ่ายหนึ่งมุ่งแต่จะเอาชนะด้วยการทับถมผู้/พวกที่ตนถือว่าเป็นศัตรูร้ายแรง
อีกฝ่ายก็มุ่งที่จะเอาชนะด้วยวิธีการลับลวงพรางเพื่อจะกลับไปได้เปรียบในลักษณะเดียวกับที่อีกพวกเคยเป็นละก็
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านที่จะมาถึงน่าจะเต็มไปด้วยความรุนแรง
และเกิดการสูญเสียมหาศาลมากกว่าที่เคยปรากฏมา
ผู้เขียนขอลำดับแนวความคิดตามรายบุคคลที่ได้อ้างอิง
โดยเริ่มที่อาจารย์นิธิซึ่งเขียนไว้ในบทความ “อนาคตทางการเมืองของคนเสื้อแดง” ว่าเสื้อแดงมีเป้าหมายทางการเมืองน่ายกย่อง แต่การใช้พรรคเพื่อไทย
(ด้วยการออกเสียงเลือกพรรคนี้อย่างท่วมท้น) เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นไม่ได้ผล เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำอะไรที่สอดคล้อง
หรือสนองต่อเป้าหมายทางการเมืองของเสื้อแดงเลย อจ.นิธิจัดหนักว่า “ความใส่ใจของรัฐบาลมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือขออยู่ในตำแหน่งต่อไปเรื่อยๆ
แม้ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร”
อย่างไรก็ดี
อจ.นิธิยอมรับว่าการที่เสื้อแดงจะบังคับให้เครื่องมือการเมืองของตน
คือพรรคเพื่อไทยเดินตามเป้าหมายของเสื้อแดงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย "เพราะที่จริงแล้วยังไม่มีสมาชิกของพรรคการเมืองใดที่สามารถคุมพรรคของตนได้สักพรรคเดียว" จึงเสนอให้คนเสื้อแดงเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยโดยผลักดันให้เกิดระบบเลือกตั้งขั้นต้น
(หรือที่เรียกทับศัพท์ว่า “ไพรมารี่”) ทั้งไม่ใช่การรณรงค์เข้าไปเป็นตัวจักร
และกรรมการของพรรคด้วย
นี่คือบทบาทของเสื้อแดงตามที่อจ.นิธิเสนอ*(1) ซึ่งถึงจะไม่บอกก็เข้าใจได้ว่าเป็นบทบาทในช่วงเปลี่ยนผ่าน
อาจจะไม่ตั้งใจเจาะจงถึงการเปลี่ยนผ่านในความหมายลึกล้ำที่พูดไม่ได้
แต่ก็หมายถึงช่วงเวลาที่ "ทำให้ขบวนการเสื้อแดงไม่มีเป้าหมายทางการเมืองใดๆ นอกจากคอยต้อนรับทักาิณกลับบ้าน"
ซึ่งในที่นี้สามารถนำเอาแนวคิด
และข้อเสนอของอาจารย์สมศักดิ์มาต่อยอดได้
อจ.สมศักดิ์เปิดประเด็นบนหน้าเฟชบุ๊คว่า
ปัญหาใหญ่ที่ควรคิด ถาม หรืออภิปรายกันคือ
“ในที่สุดแล้ว เป้าหมายในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของทักษิณ-เพื่อไทย-นปช.
คืออะไร ไม่ว่าสำหรับรัชกาลนี้ หรือรัชกาลหน้า (โดยเฉพาะสำหรับรัชกาลหน้า
เมื่อทักษิณ-เพื่อไทยเป็นที่คาดหวังว่าจะ comeback -กลับมา- เต็มที่)”
จากนั้นอจ.สมศักดิ์ได้เพิ่มเติมว่า “ในช่วงใกล้ๆ ที่ผ่านมา
(แม้แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อนิยายยายไฮตอนใหม่ออกมา)*(2) ในหมู่คนเสื้อแดงมีการเชียร์พระบรมฯ
กัน
ผมคิดว่าคำถามที่ควรถามคือ
บรรดาท่านที่เชียร์พระบรมฯ มีความเห็น ความคาดหวัง หรือต้องการให้
ภายใต้รัชกาลใหม่ สถานะของสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างไร”
กรณีที่
อจ.สมศักดิ์เอ่ยถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานะ หรือเป้าหมาย “ในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์”
ในแวดวงวิชาการ และผู้ที่พยายามทำความเข้าใจปัญหาการแตกแยกทางการเมืองในประเทศไทยด้วยหลักการสากล
ทั้งในด้านกฏหมาย และการสื่อสาร (เปิดข้อมูล) โดยเสรี
มีความเห็นคล้ายคลึงกันว่าเกิดจากการนำสถาบันกษัตริย์มาเป็นข้ออ้าง
(แม้กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือ) กำจัด กีดกัน
และกดขี่ฝักฝ่ายการเมืองที่ไม่ยอมคล้อยตามตน
มีการนำเอามายาคติมาเป็นสรณะ
แต่ในขณะเดียวกันกำหนดมาตรฐานซ้อนขึ้นมาเหนือปกติ อาทิ
คนธรรมดาสามัญถ้าหากกล่าวถึง อ้างอิง และวิจารณ์ โดยละไว้
หรือไม่ได้แสดงให้เห็นซึ่งความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และราชวงศ์ชั้นใน แม้ได้เสนอข้อเท็จจริงด้วยเจตนาที่จะให้ข้อคิดเป็นทางออกต่อปัญหาของประเทศ
ก็จะถูกแจ้งโทษความผิดฐานบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
แต่บุคคลชั้นสูงอย่าง
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา
กลับแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่อองค์มกุฎราชกุมารได้ (ดังปรากฏใน เอกสารวิกิลี้ค) ไม่มีใครคิดจะกล่าวหาแต่อย่างใด
อย่าว่าแต่การฟ้องร้องเอาผิด
ดังที่เอกอัคราชทูตแอริค
จี. จอห์นเขียนไว้ในโทรเลขถึงกรุงวอชิงตันเมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๓
ว่ารัฐบุรุษของไทยทั้งสามกล่าวถึงองค์สยามมกุฏราชกุมารวชิราลงกรณ์อย่างค่อนไปในทางลบ
ได้มีการสนทนาถึงเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์โดยที่ พล.อ.อ.สิทธิ และนายอานันท์ เห็นพ้องว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจะทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา
แต่ทั้งสองคนแสดงให้เห็นว่าประเทศชาติจะไปในทางที่ดีกว่าถ้ามีการจัดเปลี่ยนในเรื่องนี้ให้เป็นอย่างอื่น
และขณะที่พล.อ.เปรมยอมรับว่าสมเด็จพระบรมฯ
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณทางใดทางหนึ่งในสัมพันธภาพต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
พล.อ.อ.สิทธิปริวิตกว่า ถ้าหากพระบรมฯ
ทรงเสด็จขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้วจะทรงยินยอมให้ทักษิณได้กลับประเทศไทย
ซึ่งนายอานันท์ปรารภว่าน่าจะมีใครสักคนที่สามารถกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องนี้
ดร.สมศักดิ์เขียนในเฟชบุ๊คอีกว่า
“ไม่เป็นความลับว่าคนรักเจ้าชนชั้นกลางจำนวนมากมีปัญหาสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนผ่านนี้
กรณีที่ฮือฮากันเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับธนบัตรพิเศษที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพิมพ์ขึ้น
เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุด”
ประมวลได้ว่าความแตกแยกทางการเมืองถึงขั้นฝ่ายหนึ่งไม่ลดละ และจ้องจองล้างจองผลาญอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นเพราะมีปัญหากับการสืบราชสันตติวงศ์ร่วมอยู่ด้วย คือเกิดการไม่สบอารมณ์กันตั้งแต่ระดับอำมาตย์ลงมาถึงคนรักเจ้าชนชั้นกลาง จึงได้เห็นอีกฝ่ายแสดงออกบ้างว่าเลือกเจ้าเลือกนายเหมือนกัน ปรากฏการณ์คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งใส่เสื้อทีเชิ้ตเชิงสัญญลักษณ์ที่มีข้อความพาดหน้าอกว่า “เรารักพระบรมฯ” เริ่มเกิดถี่ขึ้น
ทำให้ข้อความย่อหน้าสั้นๆ
ของดร.สมศักดิ์ที่ว่า “ในอนาคตเราจะได้เห็นปัญญาชนรักเจ้าตั้งแต่ระดับบวรศักดิ์ไปจนถึงแอ๊คติวิสต์อย่างหมอตุลย์
หันมาเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ บางทีเผลอๆ อาจจะเกิดปรากฏการณ์ สวิทช์ข้าง
คือสลับจุดยืนระหว่างฝ่ายเสื้อแดงกับฝ่ายคนรักเจ้า” นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยจริงๆ
จึงมาถึงความเห็นของสื่อมวลชน
(ซึ่งอิงนักวิชาการ) ต่างชาติอย่างนายแอนดรูว์ มาร์แชล
อดีตนักข่าวรอยเตอร์ซึ่งค้นคว้าเนื้อหาในโทรเลขสถานทูตอเมริกันกรุงเทพฯ
ตามที่เปิดโปงโดยวิกิลี้ค
แล้วตัดสินใจลาออกจากรอยเตอร์เพื่อจะได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยโดยไม่ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองตามแนวปฏิบัติของสำนักข่าวต่างประเทศ
นายแอนดรูว์เขียนไว้ในบทความขนาดยาวที่เดิมทีตั้งใจให้เป็นการตอบกลับต่อหนังสือเล่มใหม่เรื่อง
“พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชกรณีกิจในชีวิต”
อันมีนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นหัวหน้าคณะกรรมการบรรณาธิการ โดยนัยยะที่จะแก้ต่างหนังสือพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกเล่มหนึ่งที่ต้องห้ามของพอล
แฮนลี่ย์ อดีตผู้สื่อข่าวนิตยสารฟาร์อีสเทิร์นเอคอนอมิครีวิวประจำประเทศไทยเรื่อง “เดอะคิงเน็ฟเวอร์สไมล์”
นายแอนดรูว์เขียนไว้ในตอนต้นๆ
ของบทแรกว่า
“การเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งทางสังคม
และการเมืองที่เกาะกินประเทศไทยยุคใหม่เป็นการกระเสือกกระสนหาคำตอบอันถูกต้องต่อคำถามทั้งหลายที่รุมล้อม
ว่าประชาชนไทยสมควรมีสิทธิเท่าเทียมกันหรือไม่
ระบบประชาธิปไตยจะใช้ได้ผลอย่างไรในประเทศไทย ความเป็นไทยหมายความว่าอย่างไร...ประชากรของประเทศจำเป็นต้องหาคำตอบเพื่อที่จะเยียวยาบาดแผลจากความแตกแยกอันขมขื่น
เพื่อเปิดทางให้ประเทศชาติเคลื่อนต่อไปข้างหน้า
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะพบคำตอบต่อปัญหาอันเร่าร้อน และสำคัญเหล่านั้น
ประชาชนไทยต้องหันหน้าเข้าเจรจากัน”
.
ทว่าความหวัง
(ดี) เช่นนั้นคงจะเกิดขึ้นได้ยาก หากดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ในระดับของชนชั้นนำนั้นต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องที่ทางอันเหมาะสมของสถาบันกษัตริย์ไทยในระบอบประชาธิปไตยสากล
หรือก็คือการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ทันสมัย ไม่ตกเป็นเครื่องมือ
และแอบอ้างเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ดังที่ดร.สมศักดิ์บอกว่า “แต่จนบัดนี้
ไม่มีใครยอมพูดกันออกมา ไม่ยอมให้มีการอภิปรายเรื่องสำคัญนี้ในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา”
ดูเหมือนจะไม่มีใครในสถานภาพที่สามารถจัดการให้เกิดการสนทนาอภิปรายดังว่าขึ้นได้
จะยินดี หรือมีแก่ใจทำตามนั้น ดังคำอ้างแบบที่นายอานันท์กล่าวกับทูตอเมริกันแอริค
จอห์นว่า “ดูแล้วไม่มีใครที่จะทำได้ดังนั้น” ล้วนสงวนท่าทีรอให้พ้นการเปลี่ยนผ่าน
หรือไม่ก็นิ่งไว้ในขณะที่พยายามเตะสกัดตัดขาไม่ให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปในทางที่พวกตนไม่ต้องการ
ทั้งๆ
ที่ความสมเหตุผลของการถกปัญหาในทางสาธารณะสามารถยกขึ้นมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนดังที่นายแอนดรูว์เขียนอีกตอนหนึ่งว่า
“การตั้งคำถาม
และถกเถียงในเรื่องบทบาทของสถาบันกษัตริย์ไม่ได้หมายความไปถึงว่าจะต้องให้ล้มเลิกสถาบันแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามการถกเถียงอย่างเปิดเผย และเห็นอกเห็นใจกันจะก่อให้เกิดข้อสรุปต่อขอบข่าย
และขีดจำกัดพระราชอำนาจอันเป็นที่ยอมรับได้แก่ทุกฝ่าย
ซึ่งจำเป็นแก่การดำรงอยู่สืบไปในระยะยาวของสถาบันกษัตริย์ไทย”
ขณะที่คนไทยยังคงอมพะนำต่อไปไม่ยอมปริปากกัน
นักวิชาการต่างชาติบางรายไปไกลถึงขั้นเสนอทางออกให้ในลักษณะที่ก้าวล้ำหน้าไปไกลกว่าคนไทยทั่วๆ
ไปจะคำนึงถึง
นายเซอร์ฮัท
อูนาลดิ ซึ่งกำลังเป็นแคนดิเดทปริญญาเอกในสาขากิจการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
มหาวิทยาลัยฮัมโบ๊ลด์ ประเทศเยอรมนี
เขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของไทยในสถานการณ์เปลี่ยนผ่าน เขาเอ่ยถึงการสืบราชสันตติวงศ์ไทยว่า
แม้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมิได้ทรงมีสิ่งที่นักปรัชญาการเมืองชาวเยอรมันเรียกว่า
“บุคคลิกภาพทางสายเลือด” (Hereditary
Charisma) อันศักดิ์สิทธิ์ (sacred) เฉกเช่นพระราชบิดา
“การลดหย่อนภาพพจน์ของสถาบันกษัตริย์ลงได้
จะทำให้สอดประสานกับความรู้สึกสาธารณะในขณะนี้ที่มิได้มุ่งหวังอะไรกับสถาบันกษัตริย์มากนัก”
และออกผลอย่างทันตาเห็นก็ได้
ดังที่มีชาวไทยคนหนึ่งตอบคำสัมภาษณ์ของเขาว่า “รู้สึกใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์มากขึ้นเมื่อสถาบันฯได้ผ่อนคลายบทบาทโดดเด่นลง”
คนเสื้อแดงที่สวมเสื้อข้อความ
“เรารักพระบรมฯ” จะรู้สึกเหมือนกันเช่นนั้นทั้งหมดหรือเปล่าไม่ใช่ปัจจัยชี้นำต่อการมีบทบาทของพวกเขาในสถานการณ์เปลี่ยนผ่าน
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ คนเสื้อแดงในฐานะที่เป็นคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองที่อิงกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชนะเลือกตั้งขาดลอยทุกครั้งที่ผ่านมา
และเชื่อว่าจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางได้ชัยชนะในครั้งต่อไป
(เพราะผลกรรมที่ทำไว้สมัยเป็นรัฐบาล
และผลบุญที่ไม่เคยได้ทำเลยเมื่อกลับมาเป็นฝ่ายค้าน) จะวางตนอย่างไรในการเป็นกำลังที่แข็งขันขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยขึ้นไปสู่ระดับมาตรฐานสากล
ทั้งในจิตสำนึกการเมืองประชาธิปไตย การกำหนด และบังคับใช้กฏหมาย กับการยอมรับความจริงในเรื่องความเท่าเทียมของมนุษย์ทุกคนที่มีมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
การนี้จึงต้องย้อนกลับไปยังข้อเขียนของ
อจ.นิธิอีกครั้งที่ได้สรุปเป้าหมายทางการเมืองของคนเสื้อแดงเอาไว้ว่า
"เรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณทักษิณ และให้แก่ตนเอง ในกรณีที่ถูกสังหารโหดในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ยุติการใช้กฏหมาย และอำนาจรัฐรังแกประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายอำนาจ คัดค้านการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ และต่อต้านการรัฐประหารซึ่งอาจมีขึ้นอีกในอนาคต ส่งเสริม และรักษาระบอบประชาธิปไตย จึงต่อต้านอำนาจนอกระบบที่ปรากฏตัวในรูปแบบต่างๆ"
เหล่านั้นล้วนแต่มีรายละเอียดที่ลงลึกถึงข้อเท็จจริงไม่สามารถมองข้าม หรือละเลยได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีการหลงลืมในรายละเอียดเหล่านี้กันอยู่ โดยมีม่านของการ “ค่อยเป็นค่อยไป” และ “ไม่หักด้ามพล้าด้วยเข่า” พรางตาอยู่ในท่าทีของส่วนการนำ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์
"เรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณทักษิณ และให้แก่ตนเอง ในกรณีที่ถูกสังหารโหดในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ยุติการใช้กฏหมาย และอำนาจรัฐรังแกประชาชนที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายอำนาจ คัดค้านการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ และต่อต้านการรัฐประหารซึ่งอาจมีขึ้นอีกในอนาคต ส่งเสริม และรักษาระบอบประชาธิปไตย จึงต่อต้านอำนาจนอกระบบที่ปรากฏตัวในรูปแบบต่างๆ"
เหล่านั้นล้วนแต่มีรายละเอียดที่ลงลึกถึงข้อเท็จจริงไม่สามารถมองข้าม หรือละเลยได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีการหลงลืมในรายละเอียดเหล่านี้กันอยู่ โดยมีม่านของการ “ค่อยเป็นค่อยไป” และ “ไม่หักด้ามพล้าด้วยเข่า” พรางตาอยู่ในท่าทีของส่วนการนำ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์
การสังหารโหดในปี
๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ยังมีโจทย์ที่จะต้องแก้ตกค้างอีกมาก
จำนวนผู้ต้องขังด้วยข้อหาก่อการร้ายเพราะไปร่วมชุมนุมเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาลยังมีเหลืออีกหลายสิบ
ข้อสำคัญการเกี้ยเซี๊ยปรองดองไม่เอาผิดกับผู้ที่สั่ง
และลงมือฆ่าประชาชนแบบเดียวกับการขยิบตาสมานฉันท์หลังเหตุการณ์มหาวิโยค ๖ ตุลาคม
๒๕๑๙ นั้นทำหลงลืมไม่ได้
การใช้กฏหมาย
และอำนาจรัฐรังแกประชาชนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามศูนย์อำนาจ นี่ก็สำคัญมาก
ในกรณีกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ องค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติ
รวมทั้งที่อยู่ในสังกัดสหประชาชาติ ชี้ให้เห็นหลายครั้งแล้วว่าเป็นกฏหมายที่กำหนดโทษเกินกว่าความผิด
ซ้ำร้ายการบังคับใช้ และการพิจารณาคดีโดยศาลไทยเต็มไปด้วยความลำเอียง เลี่ยงบาลี
และปฏิเสธมาตรฐานสากล
ดังที่นายเซอร์ฮัทคาดว่าถึงอย่างไรหลังการเปลี่ยนผ่านไปแล้วจะไม่มีการแตะต้อง ม.๑๑๒ แน่นอน ใครก็ตามที่อ้างอย่างเสล่อๆ ว่ากฏหมายมีไว้ไม่มีปัญหาถ้าไม่มีใครคิดละเมิด โดยเฉพาะพวกรักเจ้าไม่เท่าเทียมที่ออกมาค้านหัวชนฝาไม่ยอมให้แก้ไข หรือยกเลิก รอไว้ให้การเปลี่ยนผ่านตามครรลองเสร็จสรรพเสียก่อน คงได้รู้กันว่า ม.๑๑๒ นั่นเจ๊หรือจ่า
การต่อต้านรัฐประหารก็ดูจะเป็นไปแต่ในทางสัญญลักษณ์มากกว่าที่จะเอาจริงเอาจัง
ตราบเท่าที่ยังไม่มีการนำเอาข้อเสนอลบล้างผลพวงของการรัฐประหารโดยคณะนิติราษฎร์ไปศึกษาหาทางทำให้เป็นรูปธรรม
อย่างน้อยๆ น่าที่จะนำเอาจุดเริ่มของขบวนการเสื้อแดงที่มาจากการรวมตัวกันต่อต้าน
ขัดขืนรัฐประหารโดยกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการมาเป็นเครื่องเตือนใจไว้บ้างก็ยังดี
ประเด็นท้ายสุดเกี่ยวกับการต่อต้านอำนาจนอกระบบ
นี่จัดว่าสำคัญเหนืออื่นใดในภาวะแห่งการเปลี่ยนผ่าน ในเมื่อขบวนการเสื้อแดงปฏิเสธ
และพยายามต่อสู้กับอำนาจนี้ที่มาจากกลุ่มชนชั้นนำ “อำมาตย์” ก็ไม่ควรที่จะกลับกลายเป็นมือไม้ให้กับอำมาตย์ชุดใหม่เพียงเพราะช่วยกำจัด
ขับไล่อำมาตย์ชุดเก่าออกไปได้
ด้วยประสพกรรม
และความชอกช้ำที่ได้รับ เสริมด้วยความรู้
และทักษะในด้านจิตวิญญานการเมืองประชาธิปไตยที่เรียกว่า “ตาสว่าง” คนเสื้อแดงน่าที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างดีแล้ว
การยืนหยัดอยู่กับเจตนาบริสุทธิ์ในทางประชาธิปไตยโดยไม่ไขว้เขว ไม่อมพะนำ ไม่ต้องเดินหมากให้มันหลายชั้นนัก
ว่ากันตามตรง เว้ากันซื่อๆ ไม่ต้องมีลับลวงพราง
ปัญหาความแตกแยกในชาติของไทยที่แม้บัดนี้ยังมองไม่เห็นทางที่จะทำให้อยู่ร่วมกันโดยสันติได้นั้นอยู่ที่เรามี
“สลิ่ม” กับ “ขนมชั้น” แข่งขัน แก่งแย่งกันอยู่
ลองผละจากขนมชาววังทั้งสองไปชิมขนมเค็กแบบที่ชาวฝรั่งเศสเคยเจอสมัยพระนางมารีอังตัวเน็ตดูบ้าง
อาจจะช่วยให้ประชาชนทั้งมวลเปลี่ยนไปหาสรณะเดียวกันแบบสากลที่ทุกคนล้วนเสรี
และเท่าเทียม ไม่มากไม่น้อย ไม่ต่ำไม่สูงไปกว่ากันได้
*(1)
และได้รับการสนองจากแกนนำ นปช. ในการปาฐกถางานรำลึกครบรอบ ๖
ปีรัฐประหาร ๒๕๔๙ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อคืนวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕
โดยนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ กล่าวว่าข้อเสนอนักวิชาการอย่าง อจ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ให้เสื้อแดงถอยห่างจากพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นอุดมการณ์ของ
นปช. อยู่แล้ว คือการก้าวสองขาที่ฉีกแยกจากกันไม่ได้ มัดรวมกันก็ไม่ได้
แต่กับข้อเสนอของ อจ.ใจ
อึ๊งภากรณ์
ให้เสื้อแดงแยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองสังคมนิยมของตนเองขึ้นใหม่ นายวีระกานต์บอกว่า
“มีทั้งคนชอบ และคนสลดหดหู่ใจ”
แต่ไม่บอกว่า “ความคิดนี้เป็นความคิดที่คนเสื้อแดงควรรับฟัง” เหมือนของ อจ.นิธิ
*(2)
นิยายยายไฮ เป็นการลงข้อความ (โพสต์) ของผู้ใช้นามว่า Hi s ในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน ที่ปัจจุบันใช้ชื่อ “ชุมชนคนเหมือนกัน” ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๒ หัวข้อกระทู้ว่า “รายงานความคืบหน้าอาการป่วยของxxx”
ซึ่งมีผู้ติดตามอ่านเป็นจำนวนมากถึงกว่า ๑๖ ล้านคลิก
ขณะเขียนบทความนี้มีการโพสต์ล่าสุดของ Hi s หมายเลข #35713 แต่การโพสต์ซึ่ง อจ.สมศักดิ์เอ่ยถึงเป็นหมายเลข
#35693 เรื่องราวที่โพสต์อ้างว่าเป็นนิยายของครอบครัวเจ้าของโรงงานปลากระป๋องที่มีลุงกับป้าเป็นเสาหลัก
โดยที่ลุงมีอาการป่วยหนัก
ในการเข้าไปร่วมแสดงความเห็นของผู้อ่านเคยมีการสันนิษฐานว่าผู้เขียนเป็นราชนิกุลฝ่ายหญิง
หรืออาจเป็นข้าราชบริพารใกล้ชิดพระองค์
ที่มักเขียนเชิดชูพระองค์หนึ่งเหนืออีกพระองค์หนึ่ง
แม้ในการโพสต์พาดพิงในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งมีผู้เสนอฟันธงว่ายายไฮเจตนายกย่อง “เมพ” ขณะที่ตั้งใจกด “จ่า”
No comments:
Post a Comment