Tuesday, March 22, 2011

แนวร่วมประชาธิปไตยไม่ควรน้ำท่วมปาก

เป็นอันว่าการต่อสู้เรียกร้องความเที่ยงธรรมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตย นับแต่ได้มีการยึดอำนาจโดยทหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็มาลงเอยที่จะมีการเลือกตั้งใหม่เร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย

การต่อสู้ที่ว่านั้นเริ่มจากกลุ่มต้านรัฐประหารเป็นหัวหอก แล้วสมทบด้วยมวลชนที่เสียดายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาจนกระทั่งมีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) เป็นหัวจักร พ่วงด้วยขบวนยาวเหยียดของไพร่รากหญ้าผู้โหยหาประชาธิปไตย และต้องการให้รัฐบังคับใช้กฏหมายอย่างเที่ยงตรง

นั่นหลังจากการบังคับใช้กฏหมายอย่างไม่เที่ยงตรงทำให้ทักษิณถูกตัดสินจำคุก ๒ ปี ตามด้วยการยึดทรัพย์ไปหลายหมื่นล้านบาท ไพร่รากหญ้าที่ออกมาแสดงพลังอย่างล้นหลามถูกกระสุนวิ่งชนศีรษะ และหน้าอกตายไปเป็นร้อย ยังสูญหาย และถูกคุมขังด้วยข้อหาฉกรรจ์อีกจำนวนมากหลายเท่า ไม่นับที่บาดเจ็บรำเค็ญ ทำมาหากินไม่สะดวก ครอบครัวเดือดร้อนอีกยี่สิบเท่า

ทั้งหมดนี่เพื่อความฝันอันสูงส่งที่จะได้มีประชาธิปไตยแท้จริงในทางปฏิบัติ แม้จะใช้ชื่อทางการ (ในความหมายตามภาษาฝรั่งอังกฤษ) ว่า ราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ ก็ตามที

แต่ดูเหมือนความฝันอันสูงส่งยังคงจะไม่ได้ อาจได้แค่ความฝันปะแล่มๆ ที่มีชื่อเป็นทางการในภาษาไทยว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถ้าหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกถึงสองร้อยยี่สิบขึ้นไป และพรรคประชาธิปัตย์ได้ไม่เกินทุนเดิมร้อยแปดสิบ

บวกกับบรรดาตาอยู่ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามพี ก๊วนเฮียสุวัจจ์ ก๊กพี่ชาละวัน หรือสายอาศรมอาจารย์ปุ เกิดตาสว่างเฉียบพลันหันไปจูบปากกับพรรคเพื่อไทยตามสูตรที่สองซึ่งนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี หนึ่งในสามพีวิเคราะห์ไว้

นั่นเป็นแผนผัง หรือโร้ดแม็พของแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดินรุ่นที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จากข้อหาก่อการร้ายโทษฐานบังอาจนำประชาชนเรือนแสนจ้วงจาบอำมาตย์ว่าอ้างใช้พระปรมาภิไธยข่มเหงประชาชน

เช่นนี้ก็คงไม่ต่างกับบรรยากาศก่อน-หลัง และระหว่างอุบัติการณ์ตุลามหาวิปโยคเมื่อปี ๒๕๑๙ เท่าไรนัก อีกทั้งสถานการณ์เวลาต่อมาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจะเหมือนตอนหลัง ๖ ตุลาฯ หรือเปล่า ตอนนั้นนักศึกษาเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับ พคท. ตอนนี้จะมีแดงแก่นแข็งลงใต้ดินเข้าร่วมขบวนการชุดดำบ้างไหมไม่รุ

หลายปีให้หลังตุลาวิปโยคมีคณะกรรมการเสาะหาความจริงกับการเสียชีวิตของนักศึกษาในธรรมศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนว่าความจริงหาเจอแล้วอย่างจะจะ แต่ยังคงไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าใครควรจะรับผิดกับการตายที่นัยว่าจำนวนหลักร้อยเช่นเดียวกับช่วงเมษา-พฤษภา ๒๕๕๓

รวมไปถึงการคุกคามในช่วงต่อมาเหมือนที่แกนนำระดับล่างของเสื้อแดงโดนไล่ล่า ไม่เช่นั้นนักศึกษาคงไม่เดินเข้าป่ากันเป็นทิว เพื่อที่จะกลับออกมาเมื่อนโยบาย ๖๖/๒๓ ประกาศใช้ แล้วกลายเป็นซ้ายหัวเหลืองกันเป็นแถว ย่อมแสดงว่าพวกเข้าป่านั้นเพราะความกลัวถูกคร่าชีวิตมากกว่าความกล้าในอุดมการณ์

ไหนๆ การต่อสู้ของคนเสื้อแดงก็จะเข้าสู่วิถีแห่งการเลือกตั้งจริงจังแล้ว ผู้โหยหาประชาธิปไตยทั้งหลายน่าจะหันมาคิดกันสักนิดก่อนก้าวต่อว่าจะไปถึงซึ่งประชาธิปไตยแท้จริงกันในลักษณะใด เพื่อไม่ให้เป็นการย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือซ้ำรอยเป็นวงกลมเนื่องจากถูกสนตะพายอยู่กับเสาหลักที่บอกว่าเป็นศูนย์รวมของทุกอย่างฉะนั้น

ถึงจุดนี้เห็นจะต้องอ้างอิงความคิดของดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในฐานะที่นักวิชาการผู้มีบทบาททางวิพากษ์เป็นที่โจษจันในหมู่คนเสื้อแดงอย่างมากขณะนี้ เขียนไว้ก่อนแล้วบนหน้าเครือข่ายสังคม เฟชบุ๊ค ว่าคนที่ตายเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา ๕๓ จะไม่มีใครต้องรับผิดชอบแบบเดียวกับคนที่ตายในกรณี ๖ ตุลาฯ*

ดร.สมศักดิ์บอกว่าอย่างดีก็แค่มีนิรโทษกรรมให้แก่แกนนำ และคนเสื้อแดงที่ต้องคดี ซึ่งหมายความว่าแท้จริงเป็นการนิรโทษกรรมต่อผู้ลงมือกระทำการยิงผู้ชุมนุมเสียชีวิตเสียมากกว่า และเช่นเดียวกับกรณี ๖ ตุลาฯ ไม่มีทางที่จะกระทบไปถึงผู้สั่งฆ่า และสั่งยิงแม้แต่นิด

ผู้เขียนมีความเห็นไม่ต่างกับดร.สมศักดิ์ที่ว่าความหวังในการดำเนินคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศยังอยู่ห่างไกล รวมทั้งการหวังพึ่งชาติประชาธิปไตยในตะวันตกให้มาใส่ใจสร้างแรงกดดันให้เกิดความยุติธรรมต่อกรณีสลายการชุมนุมนั้นแสนยาก

ความยุติธรรมอันจะนำไปสู่ประชาธิปไตยของแท้ดังที่มวลชนเสื้อแดงมุ่งหวัง จึงต้องขวนขวายหากันให้ได้ด้วยกรรมวิธี และเครื่องมือที่มีอยู่ภายในประเทศ นั่นก็คือ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน

แต่เนื่องจากมีการถกเถียงกันมากในขณะนี้ถึงบทบาทการนำของแกนชุดปัจจุบัน อันได้แก่ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นพ. เหวง โตจิราการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ และ ฯลฯ หลายท่านเพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากการจองจำ แล้วก็ประกาศโจ่งแจ้งว่าต้องการเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง

ที่สำคัญกว่านั้นล้วน ไม่ต้องการปากสว่าง ในเรื่องตาสว่าง

ผู้เขียนจะไม่ลงลึกในเรื่องตาสว่างเพราะเชื่อว่าถึงละไว้ก็เป็นที่เข้าใจ ควรเก็บไว้เป็นของขลังสำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้แต่อยากรู้ไปขุดคุ้ยหา เวลาหาเจอจะได้ฟ้าแจ้งจางปางเหมือนบาดหลวงดอมเปริยองร้องว่าได้ดื่มด่ำดวงดาวหลังจากจิบชองปาญที่ตนคิดค้นสำเร็จเป็นครั้งแรก

ส่วนเรื่องปากสว่างก็คงต้องย้ำอีกครั้งว่าในการแสวงหาความยุติธรรมเพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยนั้นจำเป็นต้องปากสว่างบ้าง และไม่จำเป็นต้องกระซิบในประเด็นข้อเท็จจริง หรือข้อกฏหมายตามครรลองสากล ขออย่าได้ปิดปากตัวเองเท่านั้น

ปัญหาอาจจะอยู่ที่ผู้เตรียมตัวเข้าสู่วิถีเลือกตั้งไม่ได้ตั้งใจ หรือต้องการปิดปากตัวเอง หากแต่วิถีเลือกตั้งของไทยเวลานี้เป็นช่วงน้ำขึ้นสูงมาก เลยทำให้แกนนำ นปช. พากันน้ำท่วมปาก ถึงอยากพูดก็พูดไม่ได้

ถึงอย่างไรก็น่าเห็นใจแกนนำเหล่านี้ ที่ส่วนใหญ่มาจากนักประชาธิปไตยสายเลือกตั้ง เข้าร่วมกับกระบวนการเสื้อแดงเพราะต้องการเรียกคืนผลดีของการเลือกตั้งที่ประชาชนจำนวนมากสัมผัสได้ในสมัยทักษิณกลับมา ข้อเรียกร้องของ นปช. จึงเน้นหนักที่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่

แต่บังเอิญเทพเจ้าที่คุ้มครองนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เห็นว่านายกฯ ราบ ๑๑ ผู้การศึกษาดี มีสกุลยังไม่ทันได้แสดงผลงานให้ประจักษ์ ก็เลยกลายเป็นการชิงดีชิงเด่นระหว่างมวลชนรากหญ้าที่ไปไกลกว่าแกนนำ กับรัฐบาลฟันน้ำนมแต่มีผู้อุปถัมภ์เป็นมาเฟีย

เหตุที่เรียกว่ามาเฟียเพราะมีลักษณะในการใช้การปลิดชีวิตข่มขู่ให้สยบ ดังที่มีการสั่งสลายชุมนุมด้วยการขอคืนพื้นที่ และกระชับวงล้อมด้วยอาวุธหนัก กระสุนจริง ระหว่างวันที่ ๑๐ เมษายน ถึง ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ทั้งยังมีการไล่ล่า และจับกุมคุมขังทำให้เกิดความหวาดกลัวแบบที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า Reign of Terror

เท่านั้นไม่พอมีการเสนอวิชามารทำให้หัวหดเป็นตัวบทกฏหมายสำหรับควบคุมการชุมนุม ดั่งว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์นี้พยายามจะเปลี่ยนประเทศไปสู่การเป็น State of Terror

ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะที่คณะรัฐมนตรีเสนอเข้าสู่สภานั้นเต็มไปด้วยข้อบังคับ และกำกับที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล และเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ มากมายเสียจนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มักหุบปากเพราะน้ำท่วมกับการใช้กฏหมาย Draconian อย่างพ.ร.ก. สถานการณ์ฉุกเฉิน และ ป. อาญา ม. ๑๑๒ จำต้องออกหนังสือท้วงติง**

ทว่าบรรดากฏหมายที่เอาผิดอย่างง่ายดาย และลงโทษรุนแรงแบบกฏหมายกรีกที่เรียกว่า Draconian เช่น พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ออกมาใช้ในสถานการณ์ไม่ฉุกเฉินเพียงเพื่อใช้กำจัดฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมือง หรือกฏหมายหมิ่นกษัตริย์ ที่รู้จักกันในทางสากลว่า Lèse majesté เป็นกฏหมายที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไทยไม่ชอบท้วงติง

จึงเป็นภาระของกระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยต้องรณรงค์ฝ่ากระแส และปริมาณน้ำเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขอย่างถึงที่สุด

ประเด็นแรกก็คือประมวลกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ที่ใช้เป็นเครื่องมือปิดปาก ข่มขู่ และทำร้ายประชาชน โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องพระนามาภิไธยของพระมหากษัตริย์ แต่แท้จริงกลับเป็นเครื่องมือเอาเปรียบ และทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองโดยรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ และมีที่มาอย่างขัดแย้งประชาธิปไตย

ผู้เขียนเห็นด้วยกับอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์*** ว่าผู้ที่นำเอา ม. ๑๑๒ มาใช้เป็นเครื่องมือสร้าง และเสริมอำนาจของพวกตน อีกทั้งใช้ทำร้าย และทำลายผู้รณรงค์ร้องหาประชาธิปไตยมากที่สุดก็คือคณะทหาร และผู้นำฝ่ายทหาร

เป็นการข่มเหงประชาชนด้วยกฏหมายนับแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมาหนักบ้างเบาบ้างจนกระทั่งบัดนี้จัดว่าหนักมากจนได้ชื่อว่าเป็นยุคของสฤษดิ์น้อย ดูได้จากจำนวนผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มมากขึ้นจากหลักสิบเป็นหลักร้อย

แต่ว่าท่าทีของแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดินที่แสดงออกหลังจากบางคนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากที่คุมขัง นอกจากจะโดดเด่นว่าพร้อมเข้าสู่วิถีการเลือกตั้งแล้ว ยังชัดเจนว่าศิโรราบกับ ม. ๑๑๒ โดยดุษฎีเช่นกัน หรือมิฉะนั้นก็อาจจะเพียงติดกับอยู่ในสถานะน้ำท่วมปากดังกล่าวข้างต้น นายณัฐวุฒิจึงแนะนำให้ใช้วิธีกระซิบแทน

แต่การกระซิบในสถานการณ์ที่ผู้อยู่ในกระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยถูกจับกุมคุมขัง บ้างถูกตัดสินอย่างรวดเร็วให้จำคุกยาวนาน บ้างถูกกักขังไม่มีกำหนดขณะรอการดำเนินคดี ไม่ใช่วิธีที่จะช่วยให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมอุดมการณ์ และชะตากรรมเหล่านี้มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้

ดังนั้นควรที่บรรดาแกนนำชุดซึ่งต่างก็ประกาศตัวเข้าสู่วิถีเลือกตั้งกับพรรคเพื่อไทยจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการของตนเพื่อจะได้ไม่กลายเป็นการราน้ำ ทำความลำบากแก่พวกที่ยังมุ่งมั่นกับเส้นทางเพื่อประชาธิปไตยแท้จริง และความยุติธรรมถ้วนหน้าคัดหางเสือเรือไม่ถนัด ทำให้นาวาประชาธิปไตยแล่นช้า หรืออาจจะถึงกับขวางลำไปเลยก็ได้

ปล่อยให้คนที่น้ำไม่ท่วมปากเข้ามารับภาระแทน และปรับกระบวนกันต่อไป ดังที่มีเสียงเรียกร้องเช่นนั้นเกิดขึ้นตามกระดานสนทนาอยู่ไม่ขาด****

ทั้งนี้เนื่องจากหากแนวร่วมประชาธิปไตยทั้งแผ่นดินไม่สามารถกำหนดเป้าหมายในการเรียกร้องให้ยกเลิกกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ได้ หลักการได้มาซึ่งประชาธิปไตยแท้จริงย่อมเป็นหมัน

*ดูรายงานของไทยอีนิวส์ ที่ http://thaienews.blogspot.com/2011/03/91.html

**ดูประชาไท http://www.prachatai3.info/journal/2011/03/33662

***ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่ http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/157---112.html

****ดูตัวอย่างข้อความของผู้ใช้นามชัยวรมันบนกระดานสนทนาประชาท้อค Chaiworamon

1 comment:

  1. หมายเหตุผู้เขียน
    หนึ่งวันให้หลังบทความวันที่ ๒๒ มีนาคม ตีพิมพ์แล้วในที่นี้ ผู้เขียนได้รับ และฟังแฟ้มบันทึกเสียงการแถลงข่าวของ นปช. ด้วยความยินดียิ่ง โดยเฉพาะในสิ่งที่ อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ์ แจ้งว่าแกนนำยังคงยึดมั่นแนวทางเดิมตามฉันทามติกาญจนบุรี เมื่อปี ๒๕๕๒ ซึ่งมีใจความหลักๆ อยู่ที่จะยึดมั่นหลักการใช้การนำร่วม และดำเนินยุทธศาสตร์สองขาต่อไป ถึงกระนั้นแนวคิดที่ผู้เขียนแสดงไว้ในบทความว่าแกนนำควรปรับกระบวน ถ้าไม่สามารถกำหนดการยกเลิกกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ไว้เป็นเป้าหมายของ นปช. ได้ ก็ควรเปิดให้ใครที่ทำได้ทำไปไม่หยุดยั้ง และถูกขัดขวาง นั่นคือกรณีการ์ด นปช. เป็นผู้จับคนเสื้อแดงส่งตำรวจเสียเอง เพียงเพราะสงสัยว่าทำการแจกเอกสารหมิ่นเหม่ต่อ ม. ๑๑๒ ไม่ควรเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

    ReplyDelete