Sunday, February 15, 2015

คสช. เข้าใจอะไรผิดไปนิดไหม



เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะผู้ยึดอำนาจปกครอง ที่ใช้นามแฝงว่า คสช. ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการทหารบก ผู้เป็นเลขาธิการคณะยึดอำนาจดังกล่าว ออกมาแถลง เร่งทำความเข้าใจเรื่องที่ทางการอียู หรือประชาคมร่วมยุโรป ได้แสดงความเป็นห่วงและทักท้วงมาอีกครั้ง ต่อกรณีที่คณะยึดอำนาจกระทำการจับกุมบุคคลไปควบคุมตัวไว้ก่อนแล้วค่อยตั้งข้อหา กับการนำพลเรือนไปขึ้นศาลทหาร

คำชี้แจงไม่มีอะไรใหม่ หรือมีคุณค่าสลักสำคัญต่อกรณีที่อียูทักท้วงมา เนื่องเพราะยังคงใช้ข้ออ้างเดิมๆ ที่มีลักษณะเป็นวาทกรรมซ้ำซาก หรือ rhetoric ว่า “สถานการณ์ในไทยที่มีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ บริบทของการแก้ไขปัญหาก็ย่อมต้องมีความแตกต่างกัน

แม้กระทั่งในส่วนของข้อมูลเพิ่มเติมอีก ๔ ข้อ (ตามที่ปรากฏในรายงานข่าวของ http://news.voicetv.co.th/thailand/167274.html ) ก็ยังคงลักษณะในการใช้โวหารแก้ต่างไปพลางๆ ยิ่งเสียกว่ามุ่งหมายตอบข้อข้องใจอันใด ดังจะได้แจกแจงในรายละเอียดต่อไป

ก่อนอื่นเราย้อนไปดูเนื้อหาการทักท้วงของประชาคมยุโรปกันหน่อย

ตามรายงานข่าวเอพีตีพิมพ์ที่ http://www.salon.com/2015/02/13/eu_criticizes_detention_policy_military_courts_in_thailand/  นั้น ทางการอียูแถลงย้ำความเห็นขององค์การ Human Rights Watch ซึ่ง คสช. ทำการปิดกั้น (blocked) ไม่ยอมให้รับฟังความเห็นมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว นับแต่องค์การดังกล่าวติติงการทำรัฐประหารของคณะทหารไทย และชี้ให้เห็นการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักการสากลว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยหลายครั้ง

ข้อเรียกร้องจากฮิวแมนไร้ส์ว้อทช์ เป็นเรื่องการที่เจ้าหน้าที่ทหารทำการควบคุมตัวประชาชนพลเรือนไว้เป็นเวลาเกือบสามเดือน (๘๔ วัน) โดยยังไม่ต้องตั้งข้อหา ฟ้องร้อง ดำเนินคดี ในกระบวนการยุติธรรมสากลปกติ องค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ในกรุงนิวยอร์คแห่งนี้คัดค้านต่อการที่ คสช. จะนำวิธีการของกฏอัยการศึกดังกล่าวมาบังคับใช้อย่างถาวร พร้อมทั้งชี้ว่าเป็นการขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิพลเรือนส่วนบุคคลและการเมือง ที่ประเทศไทยร่วมเป็นภาคี

นายแบรด แอดัมส์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเซียของฮิวแมนไร้ส์ว้อทช์ระบุว่า การนำเอาวิธีการควบคุมตัว ๘๔ วันก่อนตั้งข้อหามาใช้ เท่ากับเป็นการตระบัดสัตย์อีกครั้ง ไม่ยอมรักษาคำมั่นสัญญา (broken promise) ที่จะนำประเทศกลับคืนสู่การปกครองโดยเคารพสิทธิและประชาธิปไตย

คำอ้างที่ พ.อ.วินธัย แถลงเพิ่มเติมในข้อแรกเลยทีเดียวว่า “การควบคุมตัวเป็นการดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมปกติต่อผู้ที่สงสัยว่าจะกระทำความผิด” นี่ก็ คลาดเคลื่อน ไปมากจากหลักการสากลอันควรเป็น (ส่วนที่จะมีเจตนา บิดเบือน แอบแฝงหรือไม่ คงต้องพิสูจน์กันต่อไป เมื่อบ้านเมืองหลุดพ้นจากครอบงำของเผด็จการแล้ว)

โดยหลักการสากลเรื่องสถานะของ “ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัย ถือว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ความผิดชัดแจ้งแล้ว” การปฏิบัติต่อผู้บริสุทธิ์ย่อมไม่ใช่เรียกผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารไปคุยเพื่อปรับทัศนคติ 

การเปลี่ยนไปใช้คำ 'แลกเปลี่ยนมุมแนวคิด' แทน ไม่ได้ช่วยปรับเจตนาให้หลุดพ้นไปจากการก้าวร้าวได้ หากจะยืนยันว่านั่นเป็นไปตามที่กรอบกฏหมายกำหนด ก็โปรดเข้าใจไว้เสียด้วยว่ากฏหมายของท่านผิดฝาผิดไข้ไปแล้ว

ข้อสองที่ว่า “คดีขึ้นศาลทหารปัจจุบันมีอยู่สองสามฐานความผิดเท่านั้น อันเป็นลักษณะเกี่ยวกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย” อันนี้ชัดมากเมื่อทั่วโลกเขาเห็นว่า ความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยที่อ้าง มันเป็นของ ท่าน และ พวกท่าน เท่านั้น ไม่ใช่ของพลเมืองทั้งมวล

ดังนั้นการใช้วลี “ซึ่งมั่นใจสังคมส่วนใหญ่ยอมรับและเข้าใจ” ก็เป็นเพียงมโนจริต หรือวาทกรรมซ้ำซาก ที่ควรกลับไปอ่านคำตอบสำหรับข้อแรก จะได้กระจ่างขึ้นมาอีกนิด

ข้อสามนั่นอ้างถึง ทางพฤตินัยนี่ก็ผิดถนัด น่าจะ พจนัยคงพอฟังได้ เรื่องว่า “ยังคงยึดโยงให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ฟังเสียงความต้องการประชาชนผ่านศูนย์ดำรงธรรม ผ่านศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ผ่านเวทีรับฟังความเห็นของในหลายๆ องค์กร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมกับภาครัฐได้อย่างกว้างขวาง” ซึ่งก็เชื่อไม่ได้ว่าเป็นจริง

เพราะการร้องเรียนผ่านศูนย์ต่างๆ ดังว่า เห็นมีแต่พวกแฟนคลับนกหวีดปิดกรุงเทพฯ เท่านั้นที่ไปร้องกันประปราย แล้วดูจะเป็นแค่พวกอกหักกับ ไทยออยส์ ที่ท่านผู้นำคณะยึดอำนาจปกครองเป็นประธานกรรมการอยู่ด้วยน่ะ  ฉะนั้น คำว่า อย่างกว้างขวางจึงมุสาหน้าใส

ส่วนข้อสี่นี่คล้าสสิกมากทีเดียว ว่ายังต้องใช้กฏอัยการศึก ด้วยสถานการณ์ยังคงละเอียดอ่อน' ท่านบอกว่า ก็เพียงเท่าที่จำเป็น หลักๆ มีเพียง 2 ข้อคือ ขอให้งดเว้นการชุมนุมทางการเมือง กับช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น

โดยเฉพาะข้อหลังนั้น ถ้าอ่านเจตนาเบื้องลึกแบบที่ ตลก. ศาลรัฐธรรมนูญชอบทำ จะได้ความว่า เพื่อพวกท่าน จะได้กุมอำนาจต่อไปได้โดยสะดวกแค่นั้นแหละ ไม่ใช่ใดอื่น

แต่หากอ่านจากเนื้อถ้อย อีกทั้งตีความอย่างผู้ที่เจริญแล้วด้วยจิตสำนึกแห่งประชาธิปไตย และความเท่าเทียมกันของมนุษย์ละก็ คงบอกว่าเป็น Stalin-esque tactics และ Orwellian dystopias อย่างที่ Elizabeth Na ’Ai เขียนวิจารณ์ไว้ในบทความเรื่อง 'THAILAND : Orwellian Dystopia at Its Finest' ที่ตีพิมพ์บนวารสาร Asia Media ของมหาวิทยาลัย Marymount ในลอส แองเจลีส

ข้อเขียนฟันธงว่า “มาตรการของ คสช. ที่ว่ามุ่งสร้างสันติและลด ความเกลียดชังหรืออาจจะอธิบายให้ใกล้เคียงยิ่งกว่าได้ว่า คือการกำจัดกลุ่มการเมือง และผู้เห็นต่าง ออกไปจากการเจรจาต่อรอง”

ผู้เขียนกล่าวถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้ประชาชนคอยสอดส่องกันและกัน ว่าใครมีพฤติกรรมน่าสงสัยก็ให้รายงานต่อเจ้าหน้าที่ บวกกับการเตรียมออก พ.ร.บ. สื่อไซเบอร์และเศรษฐกิจดิจิทอล “ถ้าผ่านออกมาบังคับใช้ละก็ -แล้วใครล่ะจะค้าน- คณะผู้ยึดครองมีอำนาจเต็มในการเข้าไปค้น อายัติ เข้าถึง และตัดตอนช่วงชิงการสื่อสารใดๆ ทางระบบดิจิทอล โดยไม่ต้องอิงหลักฐานหรือการวินิจฉัยจากผู้มีอำนาจตุลาการที่น่าเชื่อถือ

(เท่ากับว่า) คณะผู้ยึดอำนาจได้จัดตั้งรัฐสอดแนม (สไตล์ ‘1984’) ขึ้นมาอย่างชั่วร้าย ชนิดทำให้ ออร์เวลล์ (ผู้เขียน‘1984’) เอง ยังต้องอาย”

ผู้เขียนยังพาดพิงถึงการตั้งข้อหาความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่มีเพิ่มขึ้นฮวบฮาบนับแต่การยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๕๗ กับการเรียกนักการเมืองพรรคเพื่อไทยไปปรับทัศนคติ การข่มขู่สื่อมวลชน ห้ามถามเซ้าซี้ ล้วนเป็นองค์ประกอบทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาพ Orwellian Dystopia หรือ ขุมนรกออร์เวลล์ทั้งสิ้น

“เห็นได้แจ้งชัดว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยอีกมากมายนัก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับคำจำกัดความของมัน) ถ้าคนไทยมุ่งหมายที่จะมีส่วนมีเสียงในการกำหนดทิศทางก้าวไปข้างหน้าของประเทศละก็ ควรจะร่วมกันทัดทานเผด็จการทหารชุดนี้ออกมาให้เห็น ในสิ่งที่เป็นเสรีภาพการแสดงออก และสิทธิส่วนบุคคล” บทความเน้นในตอนท้าย

“บางที เมื่อถึงจุดนั้น สภาพขุมนรกออร์เวลล์อาจจะกลับไปอยู่ในที่ๆ ควรของมัน นั่นคือ นิยายวิทยาศาสตร์เพ้อฝัน”

No comments:

Post a Comment