Friday, February 18, 2011

จ้าวผวา..ที่บาหเรน

เมื่อเดือนสิงหาคมที่แล้ว (๒๕๕๓) ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ของสหรัฐมีคำสั่งให้คณะที่ปรึกษาทำรายงานเสนอเกี่ยวกับความไม่สงบทางการเมืองในกลุ่มประเทศอาหรับ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ประเทศซึ่งมีความสำคัญต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงของสหรัฐสี่แห่งคือ จอร์แดน อียิปต์ บาหเรน และเยเมน


ในเดือนเดียวกันที่บาหเรน ประเทศเล็กๆ แต่ร่ำรวยด้วยน้ำมันบนอ่าวเปอร์เซียอันเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือที่ ๕ ของสหรัฐ (สำหรับเป็นกันชนต่อการขยายอิทธิพลของอิหร่าน) และเมื่อปีที่แล้วสหรัฐให้ความช่วยเหลือทางทหารที่รวมถึงกองบินเอฟ-๑๖ เป็นมูลค่าเกือบ ๓๐ ล้านดอลลาร์ รัฐบาลของกษัตริย์ฮะหมัด บิน อิสสะ อัล-คาลิฟา ได้ทำการกวาดจับแกนนำพลังประชาชนซึ่งรณรงค์ต่อต้านรัฐบาล ๒๓ คน

โดยอ้างข้อหาอุกฉกรรจ์ตามกฏหมายสำหรับจัดการกับผู้ก่อการร้ายว่า พยายามล้มล้างรัฐบาล

การจับกุมฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลในเดือนสิงหาคมเป็นสะเก็ดไฟไปสู่การประท้วงโดยสันติในเดือนต่อมาเรียกร้องให้ทางการยุติทรมานผู้ต้องขัง และปล่อยตัวนักโทษการเมือง แต่ตำรวจกลับใช้กำลังเข้าปราบปรามจนทำให้ผู้ประท้วงเสียชีวิตไปหนึ่งคน ครั้นเมื่อผู้ประท้วงออกมาชุมนุมอีกครั้งโดยทำพิธีแห่ศพผู้ตายก็ต้องเผชิญกับการใช้ไม้แข็งของรัฐบาลด้วยการยิงเข้าใส่อีกเช่นกัน จนมีคนตายเพิ่มอีกหนึ่ง

ปลายเดือนตุลาคมนั้นเององค์การสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไร้ท์ว้อทซ์ ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ ๒๐ ทักท้วงรัฐบาลโอบาม่าในสหรัฐว่า บกพร่องที่ไม่ได้แสดงท่าทีตำหนิใดๆ ต่อวิกฤติด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น (ในบาหเรน) ซึ่งองค์การสิทธิฯ เห็นว่า เป็นการกลับคืนมาอย่างเต็มพิกัดของระบบอำนาจนิยมที่กดขี่

แม้ว่ากษัตริย์ฮะหมัดเคยมีดำรัสแสดงความเสียใจกับการตายของผู้ประท้วงสองคน และทรงตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนการเสียชีวิต แต่เมื่อตอนรุ่งสางกลางอาทิตย์ที่ผ่านมา (๑๖ กุมภาพันธ์ ๕๔) กองกำลังของพระองค์กลับเข้ากระชับพื้นที่จตุรัสไข่มุกใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงมานามา ซึ่งชาวมุสลิมชิอ๊ะไปกางเต๊นนอนค้างคืนประท้วงรัฐบาลกันอยู่

ตำรวจใช้กระบองทุบตี ยิงแก๊สน้ำตา และกระสุนยางเข้าใส่ผู้ชุมนุมซึ่งกำลังหลับ ปรากฏว่ามีคนตายไปอีกหนึ่ง

นายนิโคลัส คริสท้อฟ นักเขียนบทวิจารณ์*ประจำหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทม์ซึ่งไปสังเกตุการณ์อยู่ในบาหเรนกล่าวถึงกษัตริย์ฮะหมัดว่า

แม้กองกำลังของพระองค์จะสามารถเข้าควบคุมพื้นที่จตุรัสไข่มุกได้ในขณะนี้ แต่ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่สังกัดนิกายชิอ๊ะ (อันผิดแผกแตกต่าง และอยู่ร่วมกันอย่างไม่ค่อยมีสุขกับนิกายซันนี่ของพระองค์ และเชื้อพระวงศ์ซึ่งอยู่ในแวดวงรัฐบาล) บางส่วนเคยเรียกร้องเพียงให้มีการปรับปรุงกระบวนการปกครองตามครรลองราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แบบในประเทศอังกฤษ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงอยู่นอกเหนือการเมือง

บัดนี้กลับกลายเป็นเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ไปเสียอย่างสิ้นเชิง เพราะการที่พระองค์ทรง ล้มละลายทางจริยธรรม ไปแล้ว

ย้อนกลับไปยังรายงานลับของคณะที่ปรึกษาประธานาธิบดีโอบาม่าอันมีชื่อเป็นทางการว่า คำสั่งศึกษาของประธานาธิบดี (Presidential Study Directive) แม้จะยังไม่มีการนำเสนออย่างเป็นทางการ และไม่ได้เป็นคำสั่งลับอีกต่อไป (แต่ยังมีสถานะ ปกปิด) เพราะมีการนำเอามาใช้ปฏิบัติ (ในกรณีอียิปต์) อีกทั้งสถานการณ์ในประเทศต่างๆ ที่ศึกษายิ่งกำลังคุกรุ่น จึงต้องมีการปรับเนื้อหารายละเอียดต่อไปนั้น

รายงาน ๑๘ หน้ากล่าวถึงความพยายามวางแนวนโยบายของประธานาธิบดีโอบาม่าต่อประเทศอาหรับทั้งหลายให้เกิดสมดุลระหว่างการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติสหรัฐ และความเรียกร้องต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประชาชนในประเทศเหล่านั้น

ทั้งนี้ได้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงต่างประเทศ ซีไอเอ และสภาความมั่นคง ที่ทำเนียบขาวเป็นประจำทุกอาทิตย์ โดยที่ข้อสรุปจะยังคงติดชนักกับสถานะที่ว่า ผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์มีความสำคัญสูงมากเสียจนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพิจารณาถึงเรื่องการปฏิรูป

แต่แหล่งข่าวอ้างว่าประธานาธิบดีสหรัฐยังคงย้ำถึงความจำเป็นในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง** เพราะโอบาม่าเชื่อว่า ความเสี่ยงจะมีมากกว่าถ้าไม่ผลักดันการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตามข้อสรุปของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ พบว่าในสี่ประเทศที่เป็นกรณีศึกษานั้น ประเทศหนึ่งมีทีท่าทัดทานการเปลี่ยนแปลง (เยเมน) อีกประเทศหนึ่งโอนอ่อนผ่อนตาม (จอร์แดน) แต่อีกสองแห่งเป็นประเทศที่สหรัฐมีผลประโยชน์ผูกพันอยู่สูง (อียิปต์ และบาหเรน)

ทั้งๆ ที่เมื่อไม่นานมานี้เอง ระหว่างการเยือนบาหเรนเมื่อสองเดือนที่แล้ว นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวถึงสภาพการณ์ในประเทศนั้นว่า ข้าพเจ้าประทับใจในความก้าวหน้าของบาหเรนในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ยังผลให้ รมว. ต่างประเทศสหรัฐถูกสื่อในประเทศวิพากษ์อย่างหนัก ดังข้อเขียนของนายแจ็คสัน ดีห์ล บนเว็บบล็อกหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์*** ที่ว่า

รัฐบาลโอบาม่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับความวุ่นวาย และการกดขี่อย่างร้ายแรง ต่อการลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิของประชาชน (ในบาหเรน) เพราะผลประโยชน์แห่งความสัมพันธ์อันดีกับมิ่งมิตรที่เป็นผู้ปกครองแบบจ้าวเหนือหัว (Autocracy หรือรวมศูนย์อยู่ที่บุคคลเดียว)

เชื่อว่าการที่ทางการอเมริกันเปิดเผยรายงานคำสั่งศึกษาของประธานาธิบดีออกมาก็เพื่อแก้ต่างคำวิพากษ์ข้างต้น

หลังจากมีการปะทะครั้งใหม่ระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ นางคลินตันได้โทรศัพท์ถึงชี้คคาเล็ด บิน อาเม็ด อัล-คาลิฟา รัฐมนตรีต่างประเทศบาหเรน แสดงความกังวลต่อการที่ตำรวจปราบจลาจลกระทำรุนแรงต่อผู้ประท้วงโดยสันติ และอีกด้านหนึ่งวุฒิสมาชิกจอห์น แครี่ ประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์แถลงประณามการใช้แก๊สน้ำตา ไม้กระบอง และกระสุนยางต่อผู้ประท้วง

ทว่าในวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้ประท้วงจำนวนเป็นพันๆ ออกมาเดินขบวนพิธีศพผู้เสียชีวิต ฝ่ายตำรวจถอนกำลังออกไป แต่มีกำลังทหารอาวุธครบมือเข้ามาแทนที่ ทหารได้เปิดฉากยิงกระสุนจริงเข้าใส่ฝูงชนทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกไม่น้อยกว่า ๕ คน

เหตุร้ายในบาหเรนช่างละม้ายคล้ายคลึงการกระชับพื้นที่ชุมนุมเสื้อแดงบริเวณราชประสงค์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ในหลายแง่หลายมุมเสียนี่กระไร

สถานการณ์ในบาหเรนที่กำลังทรุดลงไปอีกทำให้รัฐบาลโอบาม่าต้องชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดระหว่างมิ่งมิตรฝ่ายผู้ปกครองกลุ่มของราชวงศ์คาลิฟาที่มีประชาชนเชื้อสายซันนี่ราว ๒๐ เปอร์เซ็นต์สนับสนุน กับประชาชนส่วนใหญ่เชื้อสายชิอ๊ะที่เรียกร้องต้องการความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย และความเสมอภาคในโอกาศทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดีวงการวิจารณ์ด้านนโยบายต่างประเทศในสหรัฐเชื่อว่า ผลจากคำสั่งประธานาธิบดีให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับพลังประชาชนในประเทศต่างๆ สะท้อนออกมาในคำปราศรัยที่เคตาร์เมื่อเดือนมกราคมนี้เองของนางคลินตันซึ่งสะกิดต่อว่าบรรดาผู้นำอาหรับทั้งหลายที่คัดค้านการเปลี่ยนแปลงในประเทศของตน


ไม่เพียงเท่านั้นข้อมูลแอบเปิดเผย (Official Leaks - คำของผู้เขียน) ยังบอกด้วยว่าประธานาธิบดีโอบาม่าย้ำให้ทำการศึกษาไปถึงกระบวนการประท้วงเรียกร้องของประชาชนในประเทศลาตินอเมริกา และเอเซียอาคเนย์ด้วย

สำหรับย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลแอบเปิดเผย อ้างว่าประธานาธิบดีเน้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะที่เป็นเมืองบิดรของท่าน แต่เนื่องจากการลุกขึ้นประท้วงของประชาชนอินโดนีเซียผ่านไปแล้วอย่างราบรื่นเป็นเวลานานพอควร

จุดสนใจน่าจะอยู่ที่ดินแดนซึ่งกำลังระอุกับสภาพ ล้มละลายทางจริยธรรม ในประเทศอื่นของภูมิภาคมากกว่า

ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยอันเป็นที่รักที่ชังของเราจะเข้าเสป็คเช่นว่าหรือไม่ แต่จากคำสั่งศาลอาญาที่เพิ่งออกมาห้ามประกันนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเสียก่อน หรือที่ในภาษากฏหมายเรียกว่า ย้อนสำนวน อันหมายความว่า คำพิพากษาจำคุก ๑๘ ปีของศาลชั้นต้นหมดสภาพ ต้องทำการพิจารณา หรือพิพากษาใหม่ ทำให้นางสาวดารณีกลับไปสู่สถานะผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่ผู้ถูกพิพากษา จึงควรที่จะได้รับการประกันนั้น

ทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยย่ำเท้าเข้าไปในปลักแห่งการ ล้มละลายทางจริยธรรม อีกกระตักหนึ่ง

ทั้งนี้ และทั้งนั้น ใครก็ตามที่อินเทร็นด์กับโลกาภิวัฒน์แบบคนหนุ่มสาวที่ออกมาประท้วงจ้าวเหนือหัวผู้ปกครองในประเทศอาหรับตั้งแต่เยเมนถึงบาหเรน อันประสพความสำเร็จไปแล้วสองแห่งคือตูนิเซียกับอียิปต์ ย่อมตระหนักดีว่า

สภาพล่มสลายอย่างลูกโซ่ของผู้ปกครองที่วิสัยทรรศน์คับแคบอยู่แต่เพียงผลได้ และชัยชนะส่วนตนกำลังจะมาถึงในไม่ช้า และน่าจะเร็วกว่าที่คิด

ส่วนจะเร็วเพียงใดยังไม่อาจชี้ชัดได้ตามรูปธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว อาทิ รายงานข่าว และหลักฐานการ ฆ่าประชาชนของตนเอง ตามสื่อแทบทุกแขนงในนานาอารยะประเทศ (ยกเว้นไทย) และการยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

ก่อนจะจบข้อเขียนชิ้นนี้ ผู้เขียนได้รับข้อมูลชิ้นใหม่ผ่านมาทางสื่อไซเบอร์โดยบังเอิญว่า จะมีการไปยื่นหนังสือร้องเรียนรัฐบาลอเมริกันผ่านนักการเมืองท้องถิ่นของนครลอส แองเจลีส ได้แก่ วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย นางไดแอน ไฟน์สไตน์ และสมาชิกสภาผู้แทนฯ อีกสามคน คือ นายเฮ็นรี่ แว็กซ์แมน นายเฮาเวิร์ด เบอร์แมน และนางแคเร็น แบส โดยกลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายไทยที่ใช้ชื่อองค์กรว่า สหภาพไทย-อเมริกันเพื่อประชาธิปไตย (Union of Thai-American for Democracy) ****

ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่เพียงชี้ให้เห็นว่า การใช้อำนาจรัฐปกปิดความจริงอันชั่วร้ายของผู้ปกครองไม่สามารถกระทำได้ในทางสากล ทั้งยังบ่งบอกถึงความกระตือรือล้นของคนเชื้อชาติไทยในสหรัฐซึ่งมิได้มี ศรัทธามืดบอด อย่างเพื่อนร่วมเชื้อสายบางกลุ่ม บางสีเป็นกัน

จึงเป็นผลให้ต่างชาติในสากลโลกพลอยตาสว่างไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

* http://www.nytimes.com/2011/02/17/opinion/17kristof.html?_r=1&nl=todaysheadlines&emc=tha212

** http://www.nytimes.com/2011/02/17/world/middleeast/17diplomacy.html?nl=todaysheadlines&emc=tha22

***

http://voices.washingtonpost.com/postpartisan/2011/02/blindsided_in_bahrain.html

****

Union of Thai-Americans for Democracy

P.O. Box 4293

Inglewood, CA 90309

18th February 2011

Dear President Obama,

We wish to introduce ourselves as a union of some 10,000 socially concerned professional Thai-Americans working in many fields all across the country.

We write to urge You to stop supporting the monarcho-military establishment in Thailand and it’s puppet government headed by Abhisit Vejjajiva of the so-called Democrat Party.

U.S. foreign policy toward Thailand is not working anymore and must be changed.

During the Vietnam and Cold War era, the U.S. government feared communism and was willing to use every available means to suppress its expansion, even if that meant supporting military dictators or tyrannical monarchs. That was then.

Thai people today are better informed than ever before, and the majority crave for a true democracy, as we Thai-Americans enjoy our great democracy here.

Thai people admire our way of life and our political system whereby government is of the people by the people and for the people. Thai people long for the democracy we have and the freedom of expression we cherish so dearly. On the other hand Thais are confused, like many, by continued U.S. support for tyrants and dictators around the world and in Thailand.

What we want is for our brothers and sisters back home to live in peace in a truly democratic society, without constant fear of vicious reprisals for saying what they think. In Thailand people are prohibited by the fearful, draconian laws of lèse majesté from criticizing or commenting the Monarchy, even when such comments are based on plain truth and fully justified. The penalty for lèse majesté (insulting the power of the King) is 3 - 15 years for each and every offence. Under constant threat of closure and sentencing, Thai media is forced to adopt nothing less than absolutely positive tone with regard to the Monarchy.

According to the current Thai Constitution, Thai Monarch is Head of State, Supreme Commander of the Arms Forces and he appoints all the judges. He is also head of the largest business conglomerate in Thailand and, personally, the top investor in the Stock Exchange of Thailand. None of this may be commented critically by Thai people without real risk of victimisation and imprisonment.

We want that everybody in Thailand, not just the Bangkok elite, have equal opportunity to obtain good education for their children and have equal access to health care.

When former Prime Minister Thaksin Shinawatra was ousted by a military Coup d'Étât in 2006, - that was ordered and endorsed by the Monarchy’s top advisers, the people rose in protest against the blatant injustice.

Thaksin’s political party was ordered to be dissolved by the Constitutional Court for highly spurious reasons. His supporters immediately formed a new political party to compete in the General Election. Once again the new party won a landslide victory. Less than a year later, with the urging of the Palace, charges were levelled against the PM. Again the Constitutional Court dissolved the pro-Thaksin party on charges of “campaign irregularities.” Again Thaksin’s supporters formed a new party and won another landslide victory at the polls. Again, although the new PM was a staunch monarchist, the royalists still felt threatened by the scale of Thaksin’s popularity and, facing baseless charges, for the third time the Constitution Court ordered the dissolution of the pro-Thaksin party and removal of the PM.

In December 2008, with the open support of the Palace, the Eton and Oxford royalist leader of the so-called Democrat Party, Mr Abhisit Vejjajiva, became the new Prime Minister - without a General Election.

Thaksin was a self-made billionaire, no different to other successful businessmen in Thailand. What distinguished him from the rest of Thailand’s privileged class was that he cared about the welfare of the ordinary, grass root people of Thailand. That is why he has remained in the hearts and minds of the majority, who are the poor.

Sick of all the gross political injustice and manipulation, in the spring of 2010 the Red Shirt Movement came out in protest, demanding the dissolution of the illegitimate Abhisit government and a new and fair General Election. They did not ask more, but what they got was live bullets from snipers of the Royal Guard. More than 90 civilians were shot dead or posted missing and several thousands were seriously wounded or injured. No government that employs snipers against the people can be permitted to govern.

While presenting itself to the world as Thailand’s latest back-to-normal set-up in search of reconciliation and new aid, the regime is secretly sponsoring para-military hid-squads to hunt down out-spoken Red Shirts all across the country. Many of the Red Shirt leaders that surrendered to end the bloodshed during the Government’s May 2010 massacre were denied bail and remain in jail, many others are in hiding.

The killing of unarmed civilian protestors last April and May 2010 is a telling testimony to the world that the current regime is illegitimate, brutal and will stop at nothing to stay in power. Their continued brutality can only breed defiance. The Abhisit regime may have guns and snipers, but the people's power will prevail in the end.

Please learn from our past mistakes. United States government support for General Augusto Pinochet and the Shah of Iran turned the people against the United States. We don’t want to see this repeated in Thailand.

The Red Shirts today number about 45 million. They are absolutely not communists or terrorists, they are ordinary freedom-loving Thai, people just like us - the American people, people struggling - like the people of Tunisia or Egypt - for their most basic rights.

It is very wrong that US-trained Thai snipers are using our M16 rifles to kill unarmed civilians.

In summation, we urge You to re-assess U.S. policy in Thailand in light of the new and rapidly changing political climate there.

We urge You to stop all military aid to Thailand until there a strict condition in place to guarantee that the Thai military cannot use U.S. weapons against peaceful demonstrators.

We urge You to issue a formal request for the immediate release all Red Shirt leaders, all political and lèse majesté prisoners, and for the dismissal of all pending lèse majesté cases.

We request that You remove Thailand from our list of Most Favored Nations if the above requests are denied.

If the above objectives are achieved, the USA will remain forever in the hearts and minds of all Thai people who value democracy - in Thailand and all over the world.

With our deepest sincerity,

We Thank You.

Union of Thai-Americans for Democracy (UTAD)

Email: utad2011@gmail.com

No comments:

Post a Comment